เข้าชมเวปไซท์ได้ที่ www.e-fengshuidesign.com

บ้านหลังหนึ่ง ควรมีประตูกี่บานถึงจะดี เห็นตำราบอกว่า ห้ามมีมากเงินจะไหลออก จริงหรือเปล่า"
คำถามนี้ ถ้ามองแค่ในตำราฮวงจุ้ยก็ต้องตอบว่า จริงครับ แต่ถ้ามองในการนำมาใช้กับเมืองไทยบ้านเรา ก็ต้องบอกว่า ไม่จริงครับ หลายคนอาจจะทำหน้างง ก่อนอื่นคงต้องบอกก่อนว่า ข้อบัญญัติในทางฮวงจุ้ยเกี่ยวกับเรื่องของประตู หน้าต่าง กำหนดไว้จริงไม่ให้มีมากเกินไป
เหตุผลก็คงเป็นเรื่องการไหลเวียนของชี่ภายในบ้าน เพราะประตูเป็นช่องผ่านของชี่ เส้นทางเดินของชี่ภายในบ้าน ก็เปรียบเสมือนเส้นเลือดภายในร่างกายของคนเรา ถ้าวางได้ดีและถูกต้อง กระแสการไหลเวียนภายในบ้าน ก็จะเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ติดขัด เดินเข้าออกอย่างสะดวก คนในบ้านนั้นก็อยู่กันอย่างสบาย
ระบบการไหลเวียนภายในบ้าน ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก บ้านที่กระแสชี่ไหลเวียนไม่ดี ย่อมส่งผลกระทบต่อคนในบ้านได้ เสมือนคนที่เลือดลมภายในร่างกายเดินไม่ดี ก็จะต้องเจ็บป่วยไม่สบายเป็นธรรมดา
คำว่า "ชี่" ในที่นี้ ก็หมายถึง "ลม" นั่นเอง
บ้านที่มีประตูหน้าต่างเยอะ จะรับลมเข้ามาบ้านเยอะตามไปด้วย ถ้าเป็นบ้านในเมืองจีน ก็ถือว่าไม่ดีเพราะเป็นลมหนาวเสียส่วนใหญ่ ทำให้คนในบ้านเจ็บป่วย ต้องเสียเงินเสียทองเป็นค่ายารักษา นี่คือเหตุผลที่ตำราบอกว่า เงินไหลออกครับ
แต่ถ้าเป็นเมืองไทยล่ะ อากาศส่วนใหญ่จะร้อน เพราะฉะนั้น การมีประตูหน้าต่างเยอะเพื่อรับลม จึงได้ประโยชน์ครับ อย่างบ้านทรงไทยของเรา มีหน้าต่างรอบบ้าน แถมใต้ถุนยังโล่งอีกต่างหาก เรียกว่ารับลมกันเต็มๆ อยู่สบายครับ
หลักฮวงจุ้ย จะมีข้อบัญญัติในการกำหนดตำแหน่งของประตู หน้าต่าง เอาไว้ ลองมาดูสิว่า ตำราว่าไว้อย่างไร
บ้านทุกหลัง จะต้องมีประตูหลังบ้านเสมอ ในทางฮวงจุ้ยถือว่า บ้านที่ไม่
มีประตูหลัง จะก่อสภาพอุดตัน เพราะกระแสชี่ไม่สามารถไหลเวียนจากหน้าบ้านไปหลังบ้านได้
ถ้าเปรียบเทียบในเชิงตรรกะวิทยา บ้านที่ไม่มีประตูหลัง ลมที่พัดเข้าหน้าบ้าน ไม่สามารถหมุนเวียนภายในบ้านได้เลย เพราะการที่ลมจะหมุนเวียนได้นั้น จะต้องมีทางเข้าและทางออก เมื่อลมไม่สามารถไหลเวียนได้ทั่วบ้าน ก็จะทำให้บ้านอับ ส่งผลกระทบในเรื่องสุขภาพของคนในบ้านได้ง่าย นั่นเอง
ประตูห้ามวางตรงกัน กรณีของประตูตรงกัน ถือเป็นข้อบัญญัติพื้นฐานในทางฮวงจุ้ยอยู่แล้ว เหตุที่ห้ามเอาไว้ก็เพราะ ประตูที่ตรงกัน จะทำให้กระแสชี่ (ลม) วิ่งเป็นเส้นตรง ลมจะพัดเข้าบ้านแรงกว่าปกติ ทำให้ลมสามารถกระจายไปทั่วบ้านได้


ลักฮวงจุ้ย จะต้องไหลอย่างคดเคี้ยว และไหลเวียนได้ทั่วทุกห้องตำแหน่งประตูที่ดี จึงควรอยู่ในลักษณะที่ทแยงมุมกัน ถ้าประตูเกิดตรงกันก็สามารถใช้ฉากมากั้นระหว่างประตู เพื่อกำหนดเส้นทางให้กระแสชี่ไหลหลบฉากกั้นไม่พุ่งเป็นเส้นตรง การไหลเวียนของชี่ก็สามารถกระจายไปทั่วบ้านได้
ประตูออกสู่ตัวบ้าน ไม่ควรมีมากเกินไป การกำหนดตำแหน่งของประตูแต่ละจุด จะต้องให้สัมพันธ์กับการไหลของชี่ด้วย ถ้าประตูมีมากหลายจุด ก็จะทำให้กระแสชี่ไหลออกนอกบ้านเร็วเกินไป ศัพท์ทางฮวงจุ้ยจะบอกว่า "เก็บทรัพย์ไม่อยู่" เพราะมีช่องรั่วไหลมาก นั่นเอง กรณีนี้ก็อย่างที่ผมอธิบายไปแล้ว
การวางตำแหน่งของประตูหรือหน้าต่างภายในบ้าน จะต้องพิจารณา โดยการดูทางลมเป็นสำคัญ เพราะช่องประตูและหน้าต่างเป็นตัวเปิดรับลมให้เข้าบ้านโดยตรง ขนาดของบ้านก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดช่องของประตูหน้าต่าง บ้านหลังใหญ่ก็ควรมีมากพอ
บางคนไปกังวลกับเรื่องนี้มากเกินไป ไม่กล้าเจาะช่องประตูมาก กลัวเงินรั่วไหลอย่างที่ตำราบอกเอาไว้ จนบางทีทำให้ความสมดุลภายในบ้านเสียไป การใช้สอยพื้นที่ภายในบ้านไม่สะดวก ต้องเดินอ้อมเพราะมีประตูน้อย บ้านอุดตัน อับทึบ ไม่มีลมวิ่งผ่านเลย
เพราะฉะนั้น จำนวนของประตูหน้าต่างจะมีมากหรือน้อย ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่ให้พิจารณาเรื่องการไหลเวียนของอากาศภายในบ้าน และการใช้สอยเป็นหลัก ก็แล้วกันครับ…

"การแก้ไขฮวงจุ้ยภายนอกบ้าน"
ความจริงแล้ว การแก้ไขฮวงจุ้ยภายนอกบ้าน จะทำได้ยากมาก เพราะไม่สามารถไปแก้ไขภายนอกบ้านได้ นั่นเอง ไม่เหมือนภายในบ้านของเราเอง จะแก้อย่างไรก็ได้ จะทุบบ้านทิ้งทั้งหลังก็ไม่มีใครว่าอะไร
ผลกระทบที่เกิดจากภายนอกมีมากมายครับ ผมจะให้ข้อสังเกตและหลักในการแก้ไข โดยจะยกกรณีที่พบเจอกันบ่อยๆ มาพูดถึงก็แล้วกันนะครับ ลองมาดูสิว่า มีกรณีใดบ้าง ที่ถือว่าฮวงจุ้ยเสีย
บ้านตรงทางสามแพร่ง กรณีนี้ จะพบเจอกันอยู่บ่อยๆ และมักจะมีคนถามอยู่เสมอว่า จะแก้ไขอย่างไรถ้าเจอปัญหานี้ ก่อนอื่นตรงรู้เสียก่อนว่า บ้านตรงทางสามแพร่งมีผลเสียอย่างไร
ตามหลักฮวงจุ้ยบอกว่า บ้านตรงทางสามแพร่ง ถือว่าเป็นจุดปะทะ เป็นจุดที่รับพลังที่รุนแรงเกินไป ถือเป็นชี่พิฆาต ส่งผลกระทบต่อบ้านหลังนั้นถึงขั้นวิบัติได้ ฟังแล้วค่อนข้างจะน่ากลัวนะครับ
แต่ถ้ามองตามหลักตรรกะวิทยา หรือใช้เหตุใช้ผลมาอธิบายกัน ก็มีข้อสรุปเช่นเดียวกันว่า "ไม่ดี" เหตุผลก็เพราะ บริเวณทางแยกถือเป็นตำแหน่งวุ่นวาย รถเลี้ยวเข้าออกอยู่บริเวณหน้าบ้าน ทำให้คนในบ้านอยู่กันอย่างไม่ค่อยสงบสักเท่าไร
คำว่าตำแหน่งปะทะ ก็คือลม บ้านตรงทางสามแพร่งจะได้รับกระแสลมที่แรงกว่าจุดอื่น ลมจะพัดพาเอาฝุ่นละอองพัดเข้าสู่บ้าน ส่งผลกระทบต่อคนในบ้านได้ นอกจากนี้ ยังเป็นตำแหน่งที่เสี่ยงภัยต่อการเกิดอุบัติเหตุรถพุ่งชนบ้านได้ง่ายอีกด้วย
เมื่อเรารู้สาเหตุแล้ว การแก้ไขก็ไม่ยากครับ การลดแรงปะทะให้น้อยลง เพียงแค่ปลูกต้นไม้ให้เอาไว้หน้าบ้าน ก็ถือว่าแก้ไขได้แล้ว เพราะต้นไม้ใหญ่จะช่วยลดมลภาวะในเรื่องของเสียงรบกวน กรองฝุ่นที่พัดเข้าบ้าน แถมยังเป็นเกาะป้องกัน เวลารถเสียหลักพุ่งเข้ามาชนบ้านได้อีกด้วย
ต้นไม้ ถือเป็นอุปกรณ์แก้ฮวงจุ้ยที่ดีที่สุด เพราะนอกจากจะแก้ปัญหาที่เกิดจากภายนอกแล้ว ยังได้ประโยชน์กับภายในบ้านด้วย ทำให้บ้านร่มเย็น ไม่ร้อนหรือแห้งแล้งจนเกินไป ไม่จำเป็นต้องเอายันต์หรือกระจกเงามาติดหรอกครับ เพราะจากประสบการณ์ที่ผมเก็บข้อมูลมา มักแก้ไม่ผลครับ
ตรงข้ามบ้านมีหลังคาจั่ว กรณีนี้ก็ทำให้หลายคนเกิดความกังวลกันมาก แหมจะไม่กังวลได้อย่างไร บ้านส่วนใหญ่ก็เป็นหลังคาทรงจั่วสามเหลี่ยมกันทั้งนั้น ในทางฮวงจุ้ยจะบอกเอาไว้ว่า รูปทรงสามเหลี่ยม เปรียบเสมือนศรพิฆาต ที่พุ่งออกจากคันธนู จะทำร้ายผู้ที่อยู่ตรงข้าม ให้เจ็บป่วยได้
วิธีแก้ไขตามหลักฮวงจุ้ย มีหลายวิธีครับ วิธีที่นิยมมากที่สุดก็คือ ปลูกต้นไม้ใหญ่บังจั่วสามเหลี่ยม ถ้าไม่สามารถปลูกต้นไม้ใหญ่ได้ ก็ให้ใช้กระจกเว้ามาติดไว้ในแนวเดียวกับจั่วสามเหลี่ยม คุณสมบัติของกระจกเว้า จะทำให้รูปสามเหลี่ยม หัวกลับ หรือไม่ก็อย่าทำให้ห้องที่ตรงกับจั่วสามเหลี่ยม เป็นห้องนอน ทำเป็นห้องอื่นที่ไม่มีคนอยู่ประจำ


บ้านอยู่ติดบ้านร้าง กรณีนี้จะรวมไปถึงบ้านที่ติดกับที่ดินรกร้างว่างเปล่า สุสาน ในตำราฮวงจุ้ยระบุเอาไว้ว่า ที่ร้าง บ้านร้าง หรือสุสาน จะก่อสภาวะอินชี่ ที่นิ่งตาย ไม่เจริญ บ้านที่
อยู่ใกล้จะอับโชค วิธีแก้ไข ให้ติดไฟ 2 ดวงบริเวณที่ติดกับบ้านร้าง ถ้าบ้าร้าง
อยู่ตรงข้ามกับบ้าน ก็ให้ติดหน้าบ้าน ถ้าอยู่หลังบ้านให้ติดหลังบ้าน อยู่ข้างบ้านก็ให้ติดข้างบ้าน แสงไฟเป็นพลังหยางที่เคลื่อนไหว มีชีวิต จะช่วยสลายพลังอินชี่ ที่นิ่งตายได้ ให้เปิดไฟทิ้งไว้ทั้งคืน
เสาไฟฟ้าแรงสูงอยู่ใกล้บ้าน เรื่องของเสาไฟหลายคนเข้าใจผิด คิดว่าแค่เสาไฟฟ้าธรรมดาก็มีผลกระทบ ความจริงแล้วกรณีที่จะมีผลกระทบจะต้องเป็นเสาไฟฟ้าขนาดใหญ่ หรือเสาไฟที่เป็นหม้อแปลงเท่านั้น
เหตุผลก็เพราะ เสาไฟฟ้าธรรมดาจะเป็นเพียงแค่เสาที่กระแสไฟไหลผ่านเท่านั้น ส่วนเสาที่เป็นหม้อแปลง ประจุไฟฟ้าจะมารวมอยู่ในหม้อแปลง ผลจึงต่างกัน ผลกระทบที่เกิดจากเสาไฟฟ้าขนาดใหญ่หรือหม้อแปลงไฟ ก็คือ บริเวณนั้นจะเกิดคลื่นไฟฟ้าแผ่กระจายไปทั่ว เจ้าคลื่นตัวนี้แหละ ที่จะส่งผลกระทบต่อคนที่อยู่ใกล้ โดยเฉพาะเรื่องของสุขภาพ
วิธีแก้ไขที่ดีที่สุด พยายามหลีกเลี่ยงวางตำแหน่งห้องนอนไว้บริเวณที่อยู่ใกล้กับเสาไฟฟ้าแรงสูง ถ้าไม่สามารถย้ายห้องนอนหลบได้ ให้ปลูกต้นไม้บังเสาไฟเอาไว้ เพราะต้นไม้จะช่วยลดคลื่นไฟฟ้าให้เข้าบ้านน้อยลง แต่อย่าปลูกต้นไม้ใกล้กับเสาไฟฟ้ามากเกินไป เพราะกิ่งไม้อาจไปกระทบกับหม้อแปลง ทำให้ไฟช็อดได้
บ้านอยู่ติดกับอาคารสูง ในทางฮวงจุ้ยบอกว่า อาคารที่สูงกว่าจะกดข่มอาคารที่ต่ำกว่า และความต่างระดับกันมากจะส่งผลให้กระแสชี่ บริเวณนั้นไหลไม่สม่ำเสมอ คงต้องบอกก่อนว่า อาคารกับบ้านจะต้องต่างระดับกันมาก ไม่ใช่บ้านสองชั้นอยู่ติดกับอาคาร 3 ชั้น อย่างนี้ไม่เข้าข่ายที่มีผลกระทบครับ ต้องต่างกันอย่างน้อยเท่าตัวขึ้นไป ความต่างยิ่งมากยิ่งมีผลกระทบมาก

วิธีแก้ไข อาจปลูกต้นไม้ใหญ่ทรงสูงด้านที่ติดกับอาคารสูงนั้น เพื่อลดความโดดเด่นของอาคารลง การมองเห็นต้นไม้ย่อมดีกว่ามองเห็นอาคารปูนที่ดูหนักและใหญ่
บางตำราอาจแนะนำให้ใช้กระจกเว้ามาติดแก้อาคารสูง เพื่อให้อาคารสูงนั้นไม่ทำร้ายบ้าน เพราะคุณสมบัติของกระจกเว้า จะทำให้ภาพที่สะท้อนกลายเป็นหัวกลับ คล้ายๆกับกรณีแก้จั่วสามเหลี่ยม
ลองมองไปรอบๆบ้านดูสิครับว่า มีข้อใดเข้าข่ายนี้บ้าง ถ้าไม่มีก็ถือว่าโชคดี ผลกระทบในเรื่องฮวงจุ้ยก็ไม่เกิด อย่าลืมว่า ผลกระทบที่เกิดจากภายนอกบ้าน จะส่งผลกระทบมากกว่าภายในบ้าน เพราะเราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงภายนอกได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องภายในจะทำอะไรก็ได้ รื้อบ้านทิ้งทั้งหลังก็ทำได้ ไม่มีใครว่าอะไรจริงมั้ยครับ….

ปัญหาที่หลายๆ คนมักจะประสบกันอยู่เสมอ เวลามีคนมาทักว่า บ้านของตัวเองผิดฮวงจุ้ย ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี จะแก้ไขฮวงจุ้ยที่ผิดก็ไม่รู้วิธี แถมคนที่ทักว่าไม่ดีผิดฮวงจุ้ย ก็ไม่รู้วิธีแก้อีก ก็ยิ่งทำให้เจ้าของบ้านเกิดความกังวล กลัวจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นภายในบ้าน
ส่วนใหญ่เจ้าของบ้าน จะใช้วิธีวิ่งหาซินแสฮวงจุ้ย มาช่วยแก้ให้ ซึ่งทำให้เสียเงินเสียทองค่อนข้างจะมาก ทั้งๆ ที่บางทีเป็นเรื่องง่ายๆ ที่สามารถทำได้เอง โดยไม่ต้องพึ่งซินแสเลย
ผมเลยนำเรื่องการแก้ไขฮวงจุ้ยด้วยตนเอง มาเล่าให้ฟังกัน โดยจะยกกรณีที่มักจะ
พบเจอกันอยู่บ่อยๆ และไม่ยุ่งยากในการแก้ไขมากนัก เพราะเรื่องของการแก้ไขฮวงจุ้ยที่ไม่ดีนั้น มีมากมายหลายวิธีด้วยกัน


ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจถึงวิธีการแก้ฮวงจุ้ยว่า มีวิธีอะไรกันบ้าง หลักการแก้ ฮวงจุ้ย เท่าที่ผมสรุปออกมาได้ก็จะมีอยู่ 5 วิธีคือ 1. หลบหลีก 2. หักเห 3. ปรับเป็นพวกเดียวกัน 4. สลายออก และ 5. ต่อสู้ป้องกัน การจะนำวิธีไหนมาใช้นั้น จะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของบ้านหลังนั้นเป็นหลัก
คราวนี้ ลองมาดูกรณีต่างๆ ที่เข้าข่ายผิดฮวงจุ้ย ผมจะไล่เลี่ยห้องต่างๆ ภายในบ้านกันก่อน ไล่ไปที่ละห้องกันเลยครับ เริ่มที่ประตูบ้านกันก่อนประตูหน้าบ้านตรงกับประตูหลังบ้าน กรณีนี้จะเจอกันอยู่บ่อยๆ ในทางฮวงจุ้ยจะบอกว่า ทำให้เงินไหลออก เรียกว่า หาเงินมาเท่าไหร่ก็ไหลออกหลังบ้านหมด การแก้ไขกรณีนี้ ไม่ยากเลยครับ วิธีที่นิยมใช้กันมากก็คือ หาฉากหรือตู้โชว์มากั้นระหว่างประตูหน้ากับประตูหลังบ้าน กระแสที่พุ่งตรงระหว่างสองประตู ก็จะถูกหักเหออกไป
อีกวิธีหนึ่ง ย้ายประตูหลังหลบประตูหน้า โดยย้ายไปเปิดด้านข้างแทน อย่าลืมว่า บ้านจะต้องมีประตูหลังเสมอ นี่เป็นกฎพื้นฐานในทางฮวงจุ้ย บางคนแก้ไขประตูตรงกัน โดยการปิดประตูหลังเสีย หลังบ้านจึงทึบไม่มีทางออก ตำราบอกว่า จะส่งผลให้บ้านหลังนั้น อุดตัน อับโชค
ซึ่งถ้ามองตามหลักเหตุผล ก็จะหมายถึง บ้านจะอับลม เพราะธรรมชาติของลมจะต้องมีทางเข้าและทางออก อากาศถึงจะถ่ายเทได้ดี การแก้ไขอะไรก็แล้วแต่ จะต้องดูที่ผลกระทบข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย ไม่ใช่แก้อย่างหนึ่งแล้วไปเสียอีกอย่างหนึ่ง อย่างนี้ก็ต้องตามแก้กันไม่รู้จบ
ห้องครัว กรณีที่พบบ่อยจะเป็นเรื่องตำแหน่งเตาไฟ กับซิงก์น้ำ ตามหลักฮวงจุ้ยจะบอกเอาไว้ว่า สองสิ่งนี้ห้ามอยู่ใกล้กัน หรือตรงข้ามกัน เพราะเตาเป็นธาตุไฟ ซิงก์เป็นธาตุน้ำ ไฟกับน้ำ เป็นธาตุปะทะกัน ส่วนใหญ่การวางเตาไฟกับซิงก์จะวางแยกกันในลักษณะตัวแอล เตาอยู่ด้านหนึ่ง ซิงก์อยู่ด้านหนึ่ง
กรณีที่เตากับซิงก์น้ำอยู่ติดกัน ให้พิจารณาก่อนว่า ระยะห่างมีมากน้อยแค่ไหน ถ้าห่างเกิน 1 เมตร ถือว่าไม่จำเป็นต้องแก้ เพราะผลกระทบจะไม่เกิด แต่ถ้าอยู่ติดกัน วิธีแก้ที่ดีที่สุดคือ ย้ายอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา แต่ถ้าทำไม่ได้ ให้หาฉากสแตนเลสกันความร้อนมากั้นตรงกลาง ก็ถือว่าใช้ได้
ส่วนกรณีที่เตาไฟกับซิงก์น้ำอยู่ตรงข้ามกัน ถ้าห้องครัวมีพื้นที่กว้างพอ ให้ใช้โต๊ะมาวางขั้นกลาง แต่ถ้าห้องครัวแคบ ต้องย้ายอย่างใดอย่างหนึ่งออกไป
ห้องส้วม ลักษณะผิดฮวงจุ้ยที่พบบ่อยก็คือ โถส้วม (ชักโครก) มักจะวางตรงกับประตูห้องส้วม พูดง่ายๆเวลาเปิดประตูก็เห็นชักโครกพุ่งเข้าหาคนที่เดินเข้า อย่างนี้ถือว่าผิดแน่นอน วิธีแก้ไข ย้ายโถส้วมเข้าด้านใน ซึ่งเป็นวิธีที่ทำได้ค่อนข้างจะยาก เพราะจะต้องย้ายท่อน้ำเสียตามไปด้วย
อีกวิธีหนึ่ง ให้หันโถส้วมไปในทิศทางที่ไม่ตรงกับประตู แทนที่จะพุ่งตรงออกมา ก็หันไปด้านข้างแทน โดยที่ไม่ต้องย้ายตำแหน่ง หรือ ถ้าไม่อยากย้ายโถส้วมก็อาจจะเลือกแก้โดยการเปลี่ยนตำแหน่งของประตูแทนก็ได้ ถ้าไม่อยากย้ายอะไรเลย ก็ให้ปิดประตูห้องส้วมไว้เสมอ พยายามเปิดประตูเข้าออกให้น้อยที่สุด ก็จะช่วยลดผลกระทบลงได้
ห้องนอน ถือเป็นห้องสำคัญที่สุดในบ้าน มีข้อบัญญัติมากมายเกี่ยวกับห้องนอน แต่ที่พบเจอบ่อยๆก็จะเป็นเรื่องการวางเตียง ตำแหน่งต้องห้ามในทางฮวงจุ้ยคือ ห้ามวางเตียงตรงกับประตู หรือนอนขวางประตูห้อง นั่นเอง
การแก้ไขที่ดีที่สุดคือ ย้ายเตียงหลบ หรือไม่ก็ย้ายประตูห้อง การย้ายเตียงหลบน่าจะดีกว่า ถ้าย้ายไม่ได้ก็ต้องหาฉากมากั้นระหว่างประตูกับเตียง
หัวเตียงเป็นหน้าต่าง หลายคนกังวลกับเรื่องนี้มาก ตำราฮวงจุ้ยพูดเอาไว้จริง แต่การแก้ไขง่ายนิดเดียว แค่ติดม่านแล้วปิดเวลานอน ปัญหาก็หมดไป
ห้องพระ ตามหลักฮวงจุ้ยจะห้ามวางโต๊ะหมู่บูชา หรือหิ้งพระ ติดกับผนังห้องน้ำ ถ้าจำเป็นต้องวางจะต้องบุผนังด้านที่พิงห้องน้ำด้วยไม้ เพื่อขั้นระหว่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์กับห้องน้ำ แต่ถ้าย้ายตำแหน่งได้ก็ควรย้ายจะดีที่สุด
ขื่อ,คาน บ้านทุกหลังต้องมีคานด้วยกันทั้งนั้น คานที่มีผลกระทบก็คือ คานที่มองเห็นอย่างเด่นชัด การแก้ก็เพียงปิดฝ้าเพดาน เพื่อไม่ให้มองเห็นคาน นั่นเอง แต่ถ้าขี้เกียจเสียเงินติดฝ้าเพดาน ก็ให้เลี่ยงวางของที่สำคัญไว้ใต้คาน เช่น โต๊ะทำงาน เตียงนอน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้าที่ ฯลฯ
เหลี่ยมเสา เสาที่ถือว่ามีผลกระทบมากที่สุดก็คือ "เสาลอย" เพราะจะเกิดเหลี่ยมเสาถึง 4 ด้าน วิธีแก้ให้หาตู้มาพิงเสาด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อไม่ให้เสาลอย หรือใช้ฉากทำเป็นผนังกั้นไปเลยก็ได้ อีกวิธีหนึ่งลบเหลี่ยมของเสาออก โดยทำเป็นเสากลม อิทธิพลของเหลี่ยมเสาก็หมดไป
ส่วนเหลี่ยมที่เกิดจากมุมเสา ให้ใช้ต้นไม้ไปวางบังเหลี่ยม แค่นี้ก็แก้ไขได้แล้วครับ เห็นไหมครับ การแก้ฮวงจุ้ยไม่ใช่สิ่งที่ยากเลย ผมพูดถึงหลักในการเลือกซื้อคอนโดมิเนียม โดยพิจารณาจากสภาพแวดล้อมไปแล้ว แต่คนส่วนใหญ่มักจะถามผมเสมอว่า เกิดปีนี้ราศีนี้ ควรจะอยู่คอนโดฯแบบใดทิศใดถึงจะดี ผมคงต้องบอกกันก่อนว่า การนำเรื่องของดวงชะตาบุคคลมาพิจารณานั้น เป็นปัจจัยเสริมมากกว่าจะเป็นโจทย์หลักในการใช้ตัดสิน
หลายคนเข้าใจผิดในเรื่องนี้มาก ซึ่งทำให้การวิเคราะห์ฮวงจุ้ยผิดเพี้ยนไปได้ หลักในการวิเคราะห์ว่า ฮวงจุ้ยดีหรือไม่ดี จะต้องนำเรื่องของสภาพแวดล้อม (ชัยภูมิ) มาเป็นปัจจัยหลักในการพิจารณา
ตามหลักฮวงจุ้ย จะกำหนดปีเกิดกับทิศทางที่สมพงศ์กัน การเลือกตำแหน่งห้องในคอนโดฯ จึงพิจารณาทิศที่ถูกโฉลกกับเจ้าของห้องเป็นหลัก ใครเกิดปีใดควรจะอยู่ทิศใด เพื่อให้ง่ายเข้าผมจะสรุปออกมาให้ดูว่า ใครเกิดปีอะไรควรจะเลือกคอนโดฯอยู่ทางทิศใด ปีกุนและปีชวด คนเกิด 2 ปีนี้ในทางฮวงจุ้ยจะจัดเป็นคนธาตุน้ำ ทิศทางที่ถูกโฉลกจะเป็นทิศเหนือ ตะวันตก และตะวันตกเฉียงเหนือ ส่วนทิศต้องห้ามจะเป็นทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันตกเฉียงใต้
ปีขาลกับปีเถาะเป็นบุคคลธาตุไม้ ทิศดีจะต้องเป็นทิศตะวันออก ตะวันออกเฉียงใต้ และทิศเหนือ ส่วนทิศร้ายจะเป็นทิศตะวันตก และตะวันตกเฉียงเหนือ
ปีมะเส็งกับปีมะเมีย เป็นคนธาตุไฟ ทิศที่ถูกโฉลกคือ ทิศใต้ ตะวันออก และตะวันออกเฉียงใต้ หลีกเลี่ยงทิศเหนือ เพราะเป็นทิศปะทะโดยตรง
ปีวอกกับปีระกา เป็นคนธาตุทอง ทิศที่เหมาะกับคนธาตุทองคือ ตะวันตก ตะวันตกเฉียงใต้ และตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนที่ทิศไม่เหมาะก็คือทิศใต้
ปีฉลู มะโรง มะแม จอ จัดเป็นคนธาตุดิน จะถูกโฉลกกับทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันตกเฉียงใต้ และทิศใต้ ส่วนทิศต้องห้ามจะเป็นทิศตะวันออก กับตะวันออกเฉียงใต้
เมื่อรู้ตำแหน่งทิศที่ถูกโฉลกกับปีเกิดแล้ว วิธีเลือกห้องคอนโดฯ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร วิธีหาตำแหน่งก็พิจารณาทิศจริงของคอนโดฯ โดยหาจุดกึ่งกลางของคอนโดฯแล้วแบ่งทิศออกเป็น 8 ทิศหลัก
ใครควรจะเลือกตำแหน่งห้องอยู่ด้านไหน มุมไหนของคอนโดฯ ก็รู้ได้ทันที ถ้าไม่สามารถเลือกทิศที่ถูกโฉลกได้ (กรณีมีคนเลือกไปแล้ว) ก็สามารถเลือกตำแหน่งห้องที่อยู่ในทิศทางอื่นได้ ยกเว้นทิศที่ไม่ถูกโฉลกเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น คนเกิดปีเถาะ ธาตุไม้ ถ้าไม่สามารถเลือกทิศตะวันออก ตะวันออกเฉียงใต้ หรือทิศเหนือซึ่งเป็นทิศถูกโฉลกได้ ก็สามารถที่จะเลือกห้องทางทิศใต้ ตะวันออกเฉียงเหนือ หรือตะวันตกเฉียงใต้ แทนก็ได้ ยกเว้นทิศตะวันตก กับทิศตะวันตกเฉียงเหนือเท่านั้น เพราะเป็นทิศไม่ถูกโฉลก

ก็คงต้องย้ำกันอีกที่ว่าอย่าไปซีเรียสให้มากนักในเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าห้องจะไม่ตรงตามทิศที่ถูกโฉลกกับตัวเอง แต่ถ้าชัยภูมิหรือสภาพแวดล้อมของห้องนั้นดี ก็ไม่น่าเป็นห่วงอะไร
กรณีกลับกัน ถ้าห้องที่เลือกถูกโฉลกถูกตำแหน่งกับปีเกิด แต่อยู่ใน
สภาพแวดล้อมที่ไม่ดี เช่น มีตึกบังลม ห้องติดกับสุสาน หรือมีหม้อแปลงไฟฟ้าอยู่ตรงกับห้อง อย่างนี้ถือว่า เสียหาย ไม่ควรเลือกโดยเด็ดขาด
เห็นไหมครับ อย่าใช้หลักการพิจารณาแค่ทิศให้ถูกกับดวงชะตาเพียงอย่างเดียว จะต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆประกอบไปด้วย หลายๆคนผิดพลาดในเรื่องนี้ ก็ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง
กฎเกณฑ์ต่างๆในทางฮวงจุ้ยเป็นร้อยเป็นพันข้อนั้น ไม่ใช่กฎเกณฑ์ตายตัว ทุกข้อห้ามข้อบัญญัติ จะมีข้อยืดหยุ่นหรือข้อยกเว้นอยู่เสมอ เหตุผลก็เพราะ สภาพแวดล้อมในแต่ละสถานที่ ย่อมมีสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนกันเลย ร้อยบ้านก็ร้อยแบบ อย่างอาคารพาณิชย์หรือห้องแถว ซึ่งหลายๆคนจะมองว่า เหมือนกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแบบ รูปทรง หรือทิศทาง
แต่หลายคนลืมไปว่า จุดที่แตกต่างก็คือ ตำแหน่งของห้องที่ไม่เหมือนกัน ห้องที่อยู่หัวมุม ย่อมต่างจากห้องที่อยู่ตรงกลาง หรือแม้แต่ห้องที่อยู่ติดกันก็ใช่ว่าจะเหมือนกัน เพราะยังมีเงื่อนไขของการจัดวางข้าวของภายในห้องอีก ซึ่งแต่ละที่ก็มีการจัดที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้น ควรนำหลายๆปัจจัยมาพิจารณา และที่สำคัญไม่จำเป็นจะต้องถูกต้อง 100 % เพราะไม่มีฮวงจุ้ยที่ไหนถูกต้อง 100 % หรอกครับ เอาแค่ให้ถูกเกิน 50-60 % ก็ถือว่าดีแล้วครับ ชัยภูมิถูก ทิศผิด ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ต้องไปกังวลให้เครียดกันเปล่าๆ หลักในการเลือกที่อยู่อาศัยในแบบคอนโดมิเนียมนั้น จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันอยู่ หลายประเด็นกับบ้านอยู่อาศัยทั่วไป ใครที่กำลังคิดจะหาซื้อคอนโดฯสักห้อง ลองนำหลักที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ ไปพิจารณาในการตัดสินใจซื้อ ก็จะได้ห้องที่ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย หลักในการพิจารณาคอนโดฯว่า มีฮวงจุ้ยที่ดีหรือไม่นั้น ให้พิจารณาตามนี้ครับ 1. พิจารณาที่ตัวคอนโดฯ ว่าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีหรือไม่ หลายคนเข้าใจผิดคิดว่า พิจารณาแค่ห้องที่เราจะซื้อเท่านั้น อย่าลืมว่า ห้องที่เราเลือกเป็นส่วนหนึ่งของคอนโดฯทั้งหลัง ถ้าคอนโดฯทั้งหลังมีฮวงจุ้ยที่ดีแล้ว ห้องที่อยู่ภายในทั้งหมดก็จะได้รับผลดีไปด้วย แต่ถ้าคอนโดฯฮวงจุ้ยเสีย ต่อให้เลือกตำแหน่งห้องที่ดีที่สุดของคอนโดฯก็ยังได้รับผลเสียอยู่ดี คอนโดฯที่ได้ชื่อ ว่า ฮวงจุ้ยดี จะต้องเข้าข่าย ดังต่อไปนี้
- คอนโดฯอยู่ใกล้แหล่งชุมชน ไม่อยู่โดดเดียวหลังเดียว
- เส้นทางเข้าสู่คอนโดฯ ต้องไม่อยู่ห่างจากถนนใหญ่มากเกินไป
- สิ่งปลูกสร้างรอบๆคอนโดฯ ต้องไม่มีลักษณะร้าย เช่น สะพานลอย ทางด่วน ทางรถไฟ ทางยกระดับพาดผ่าน หรือมีเสาไฟฟ้าแรงสูง เสาอากาศวิทยุหรือโทรทัศน์ขนาดใหญ่อยู่ใกล้
- คอนโดฯต้องไม่มีเหลี่ยมมุมของอาคารข้างเคียงพุ่งเข้าสู่อาคาร หรือคอนโดฯอยู่ระหว่างซอกตึกของอาคารตรงข้าม
- คอนโดฯต้องไม่แวดล้อมด้วยอาคารที่สูงกว่า
- คอนโดฯอยู่ติดวัด ศาลเจ้า สุสาน ป่าช้า ถือว่าฮวงจุ้ยไม่ดี

2. การหาตำแหน่งห้องที่ดี จะต้องพิจารณาด้านทั้งสี่ของอาคารเป็นหลัก คำถามที่ผม มักเจออยู่บ่อยๆ ก็เห็นจะเป็น "จะเลือกห้องไหนถึงจะดี" หลักในการเลือกจะต้องดูด้าน ทั้ง 4 ของคอนโดฯ ดูว่าด้านไหนดีที่สุดก็เลือกด้านนั้น ด้านที่ดีส่วนใหญ่จะเป็นที่โล่ง ไม่มี อาคารอื่นปิดบังห้อง มีสวน สระน้ำ แม่น้ำ ทะเลสาบ หรือทัศนียภาพที่สวยงาม 3. ดูทิศทางเพื่อเลือกตำแหน่งห้อง การดูทิศถือว่าสำคัญมาก การจะเลือกห้องอยู่ทาง ทิศไหนนั้น มีหลักให้พิจารณาง่ายๆ ดังนี้
- ด้านเหนือ อับลม
- ด้านใต้ รับลม
- ด้านตะวันออก รับแสงตอนเช้า
- ด้านตะวันตก รับแสงตอนบ่าย

จะเห็นได้ว่า ด้านใต้กับตะวันออกจะเป็นด้านที่ดี เพราะได้ประโยชน์จากลมและแสงแดด อย่าลืมว่า ห้องคอนโดฯไม่เหมือนกับบ้านเป็นหลัง เป็นเพียงห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ มีช่องทางเข้าสู่ห้องเพียงด้านเดียว(ระเบียง) ความสมดุลในเรื่องของลมและแสงจะไม่สมดุลอยู่แล้ว ถ้าเลือกตำแหน่งห้องที่อับลมอีก ห้องนั้นจะไม่มีการหมุนเวียนของลมเลย ย่อมส่งผลเสียต่อผู้อยู่อาศัยได้ง่าย โดยเฉพาะในเรื่องของสุขภาพ
หลัก 3 ข้อที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงปัจจัยเบื้องต้นในการสังเกตลักษณะภายนอกของคอนโดฯที่ดีและไม่ดี หลังจากนั้นค่อยไปเลือกตำแหน่งห้องภายในคอนโดฯอีกที การจะรู้ว่าห้องไหนดีกว่าห้องไหนนั้น คงต้องรออ่านตอนหน้าแล้วล่ะครับ
การตกแต่งบ้าน ถือเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้สำหรับคนรักบ้านทั้งหลาย บางคนลงทุนในเรื่องนี้ มากกว่าราคาบ้านเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นการจัดสวน กระเบื้องปูพื้น รั้วบ้าน ประตูรั้ว เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ผ้าปู สุขภัณฑ์ และอีกมากมาย เรียกว่าทุกบ้านจะต้องมีการตกแต่งทั้งหมด
ผมเลยเอาเรื่องการแต่งบ้านมาพูดถึง แต่ผมจะหยิบเอาการตกแต่งบ้านด้วยรูปภาพมาพูดถึงเท่านั้น เพราะของตกแต่งบ้านที่ดูเหมือนจะนิยมกันมากที่สุด ก็เห็นจะเป็น "รูปภาพ" ติดพนังห้องนี่แหละ หลายคนถามผมว่า การเลือกรูปประดับบ้าน ในทางฮวงจุ้ยมีข้อกำหนดอย่างไรบ้างหรือไม่
มีครับ โดยหลักเกณฑ์ในทางฮวงจุ้ย จะมีพูดถึงเอาไว้ในเรื่องของการแทนความหมายของภาพ เพื่อให้เหมาะกับห้องต่างๆ ภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นห้องโถง ห้องรับแขก ห้องทำงาน ห้องนอน ห้องน้ำห้องส้วม หรือห้องอาหาร เพื่อให้มองเห็นภาพชัดขึ้น ผมจะไล่เรียงไปที่ละห้องก็แล้วกันนะครับ
ห้องโถงและห้องรับแขก
รูปภาพที่ใช้ประดับในห้องนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นภาพวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ให้ความรู้สึกที่อบอุ่น ผ่อนคลาย เพราะเป็นห้องที่อยู่ด้านหน้าสุดของบ้าน เมื่อเดินเข้าบ้านมองเห็นภาพวิว ก็จะให้ความรู้สึกที่ดีสำหรับแขกที่มาเยือน หรือผู้อยู่อาศัยเองก็ตาม
ในทางฮวงจุ้ย ยังให้ความสำคัญในเรื่องความหมายของภาพอีกด้วย อย่างภาพวิวรูปพระอาทิตย์ จะต้องเป็นพระอาทิตย์ขึ้นเท่านั้น ห้ามใช้รูปพระอาทิตย์ตกดิน เพราะให้ความหมายที่ไม่เป็นมงคล ถ้าเป็นภาพทะเล จะต้องเป็นทะเลที่สงบราบเรียบ ให้บรรยากาศที่อบอุ่น ไม่ใช่ทะเลคลั่ง หรือเป็นรูปเรือกำลังโต้คลื่น อย่างนี้ไม่เหมาะ ถ้าเป็นภาพน้ำตก ก็ไม่ควรหันไปที่ประตูหรือติดใกล้กับประตูทางเข้า เพราะจะแทนความหมายของโชคลาภที่ไหลออก ควรหันภาพเข้ามาในบ้าน หรือติดห้องอื่นจะดีกว่าห้องรับแขก
นอกจากนี้ ห้องรับแขกยังนิยมติดรูปพระบรมฉายาลักษณ์ หรือรูปองค์เทพต่างๆ เพื่อความเป็นมงคลกับบ้านอีกด้วย ส่วนใครจะติดรูปตัวเองก็ไม่ได้ผิดกติกาใดๆ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นรูปครอบครัวเสียล่ะมากกว่าครับ
ห้องทำงาน
บ้านที่มีห้องทำงาน รูปภาพที่เหมาะกับห้องนี้ ในทางฮวงจุ้ยบอกว่า ควรใช้รูปภูเขา และควรติดในตำแหน่งหลังโต๊ะทำงาน เพื่อให้ความหมายว่า พักพิง มั่นคง ห้ามติดตรงข้ามกับโต๊ะทำงาน เพราะจะทำให้คนทำงานมีความรู้สึกอุดตัน และคิดไม่ออก และลักษณะของภูเขา ควรจะเป็นภูเขากลมมน ปกคลุมไปด้วยต้นไม้สีเขียว ห้ามเป็นภูเขาหัวโล้น หรือเขาแหลม จะให้ความหมายที่ไม่เป็นมงคล
ภาพหลังโต๊ะทำงาน ไม่ควรเป็นภาพที่แสดงถึงสิ่งที่เคลื่อนไหว เช่น ภาพน้ำตก ม้าวิ่ง รถแข่ง ฯลฯ เพราะจะแทนความหมายของความเหน็ดเหนื่อย
รูปภาพภูเขาให้ความหมายที่ดีต่อคนที่นั่งทำงาน แทนความหมายของความมั่นคงถาวร

ห้องนอน
เป็นห้องที่ใช้พักผ่อนนอนหลับ ภาพที่เหมาะสมจึงควรเป็นภาพที่นุ่มนวล เช่น ภาพดอกไม้ สวนดอกไม้ เพราะแทนความหมายของความรักและความอบอุ่น ถ้าจะติดภาพน้ำในห้องนอน ในทางฮวงจุ้ยจะห้ามเอาไว้ว่า ห้ามติดบริเวณหัวนอน เพราะถือว่าชี่น้ำไหลลงหัว จะทำให้คนนอนไม่สบายได้ง่าย
ภาพที่ไม่ควรติดไว้ในห้องนอน ก็จะเป็นภาพบุคคล ภาพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ภาพอาคารบ้านเรือน หรือภาพเครื่องจักรเครื่องยนต์ รวมไปถึงภาพประเภท "แอ๊บสแทร็ค"(abstract) ที่ดูไม่รู้เรื่อง ต้องตีความกันหลายตลบ อย่างนี้ก็ไม่เหมาะเช่นเดียวกัน เพราะห้องนอน ต้องการพักผ่อน ไม่ควรมองเห็นสิ่งที่ต้องใช้สมองคิดมากเกินไป
ห้องน้ำห้องส้วม
ควรติดภาพต้นไม้ใบหญ้า ภาพป่าหรือสวนที่ให้ความเขียวสด ในทางฮวจุ้ยถือว่า ต้นไม้จะเป็นตัวดูดซับความชื้นภายในห้องน้ำได้เป็นอย่างดี

ภาพป่า ต้นไม้ เหมาะกับห้องน้ำ เพราะต้นไม้แทนความหมายของดูดซับความชื้น

ห้องอาหาร
ห้องอาหารก็ให้ใช้ภาพวิว หรือภาพต้นไม้ที่มีธารน้ำไหล เพราะช่วงเวลาอาหารถือเป็นช่วงที่ได้รับการพักผ่อน การได้เห็นภาพวิวสวยๆ ย่อมทำให้การบริโภคอาหารมีรสชาติมากขึ้น นอกจาก นี้อาจใช้ภาพอาหาร หรือผลไม้สดๆ ก็เป็นตัวเร่งให้การบริโภคอาหารอร่อยมากขึ้นอีกด้วย
ห้องพระ
ห้องพระ คงจะติดรูปอะไรอื่นไปไม่ได้ นอกจากภาพที่เกี่ยวกับองค์เทพ พระเกจิต่างๆ หรือพระบรมฉายาลักษณ์ เพราะเป็นห้องที่ต้องแสดงความเคารพ ต้องการความสงบนิ่ง รูปที่ไม่เหมาะก็คือ รูปคน (ที่มีชีวิต) หรือรูปอื่นใด ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเคารพนับถือ
คงจะพอนะครับ ความจริงแล้ว การติดรูปภาพเพื่อตกแต่งบ้าน มักจะเลือกจากปัจจัยที่เจ้าของบ้านชอบมากกว่า สิ่งที่ผมนำมาเล่าให้ฟัง ก็เพื่อเป็นแนวทางเล็กๆน้อยๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไร ไม่จำเป็นจะต้องทำตามที่ผมว่ามาทั้งหมดหรอกนะครับ ถ้าเราไม่ชอบรูปนั้นๆ
จำไว้อย่างหนึ่งก็คือ ภาพที่มองเห็นทุกภาพจะต้องเป็นภาพที่เรามองแล้วรู้สึกดี สบายใจ ถ้าภาพไหนดูกี่ครั้งก็ไม่ชอบ ก็อย่าได้เอามาติดเลยครับ เสียความรู้สึกเปล่าๆ ถึงแม้ว่า ตำราฮวงจุ้ยจะบอกว่าเหมาะก็ตาม…
"เจ้าที่" คำๆ นี้ ดูเหมือนว่า จะคุ้นเคยกันดีไม่ว่าจะเป็นคนไทย คนจีน ประเพณีปฏิบัติในการไหว้เจ้าที่ ถูกสืบทอดกันมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันปีมาแล้ว จนมาถึงปัจจุบันก็ยังปฏิบัติกันอยู่ การตั้งศาลเจ้าที่ จึงมักจะทำกันเป็นเรื่องปกติ
ศาลเจ้าที่ของคนไทย มักจะเรียกว่า "ศาลตา-ยาย" ซึ่งจะตั้งอยู่คู่กับศาลพระภูมิหลายคนคงเคยเห็น ส่วนศาลเจ้าที่ของคนจีนจะเรียกว่า "ตี่จูเอี๊ย" เป็นศาลที่ตั้งอยู่ภายในบ้าน วางอยู่ติดกับพื้นบ้าน สีแดงๆ คงจะนึกออกนะครับ "ศาลเจ้าที่จำเป็นจะต้องตั้งหรือไม่ ถ้าไม่ตั้งจะเกิดอะไรขึ้น…?"
ผมเองถูกตั้งคำถามแบบนี้อยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ๆ ที่ไม่ค่อยอยากตั้งศาลเจ้าที่กันสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะศาลเจ้าที่แบบจีนที่ต้องตั้งไว้ในบ้าน เพราะทำให้บ้านดูไม่สวย จัดบ้านยาก หรือไม่ก็อ้างว่าไม่มีเวลาดูแลบ้าง นั่นเป็นเหตุผลส่วนใหญ่ที่ทำให้ไม่อยากตั้งศาลเจ้าที่ในบ้าน
ก่อนอื่นคงทำความเข้าใจคำว่า "เจ้าที่" กันก่อนนะครับ ความหมายของเจ้าที่ ก็คือ เจ้าของที่ดินที่เราเข้าไปอาศัยอยู่ หรือปลูกบ้านบนที่ดินนั้น เจ้าของที่ดินในที่นี้ หมายถึง เจ้าของที่ดิน (เดิม) ที่ตายไปแล้วนะครับ ไม่ใช่คนเป็น อย่างหมู่บ้านที่เราไปซื้อบ้านอยู่ ซึ่งในหมู่บ้านนั้นอาจมีบ้านเป็นร้อยๆ หลัง เจ้าที่อาจมีเพียงคนเดียวก็ได้
เพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นว่า บ้านทุกหลังจะต้องมีเจ้าที่ หลายคนเข้าใจผิดคิดว่า บ้านร้อยหลังก็ต้องมีเจ้าที่ร้อยตน นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิดอย่างมาก ผมเองได้เคยถามผู้รู้หลายต่อหลายคน เกี่ยวกับเจ้าที่ก็ได้รับคำอธิบายว่า เจ้าที่ จะมีอยู่ 2 ประเภทคือ เจ้าที่แท้ กับเจ้าที่จร
"เจ้าที่แท้" ก็คือ ผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินเดิม เมื่อตายไปแล้วก็ยังเฝ้าที่ดินของตัวเองอยู่ ไม่ยอมไปเกิด ประเภทปู่โสมเฝ้าทรัพย์ เมื่อมีคนเข้าไปอยู่ก็ต้องทำพิธีขออนุญาต และตั้งศาลเจ้าที่บูชาเพื่อแสดงความเคารพต่อเจ้าของสถานที่
"เจ้าจร" คือ วิญญาณเร่ร่อนอยู่บริเวณนั้น เมื่อเจ้าที่เดิมไปเกิดแล้ว ที่บริเวณนั้นก็กลายเป็นที่สาธารณะ พวกวิญญาณเหล่านี้ ก็สามารถเข้าไปจับจองพื้นที่ อาจเข้าไปอยู่บ้านโน่นบ้านนี้ บ้านไหนเลี้ยงดูดีก็อาจจะขออยู่ประจำบ้านหลังนั้น กลายเป็นเจ้าที่บ้านนั้นไป
บ้านบางหลังที่มีการตั้งศาลเจ้าที่ (ตี่จูเอี๊ย) เมื่อไปตรวจเช็คดูแล้ว อาจไม่มีเจ้าที่อยู่เลยก็มีให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ พูดง่ายๆ มีแต่ศาลเปล่าๆ ไม่มีวิญญาณสิงสถิตอยู่ ซึ่งอาจจะเข้าข่ายประเภทเจ้าที่จร การกราบไหว้บูชาก็อาจจะไม่มีผลอะไรเกิดขึ้น
กรณีที่เป็นการอยู่อาศัยในหมู่บ้าน ซึ่งส่วนใหญ่จะมีศาลเจ้าที่ของหมู่บ้านเป็นศาลกลางที่คนในหมู่บ้านสามารถกราบไหว้บูชาได้ กรณีนี้การตั้งศาลเจ้าที่ภายในบ้าน อาจไม่จำเป็นต้องตั้งก็ได้ เพราะถือว่า มีศาลเจ้าที่ใหญ่ให้กราบไหว้อยู่แล้ว
แต่ถ้าเป็นกรณีที่ไปสร้างบ้านอยู่ในพื้นที่อื่นๆ การตั้งศาลอาจมีความจำเป็นเพราะเราไม่รู้ว่า มีเจ้าที่อยู่หรือไม่ ยิ่งถ้าเป็นพื้นที่ ที่มีสภาพแวดล้อมที่เป็นหยินมากๆ เช่น เป็นที่เปลี่ยว รกร้าง ใกล้วัด มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมรอบๆ บริเวณบ้าน ก็ให้สันนิฐานเอาไว้ก่อนว่า มีวิญญาณอยู่บริเวณนั้น ซึ่งอาจจะเป็นเจ้าที่แท้หรือจร ก็แล้วแต่
การตั้งศาลเจ้าที่นั้น สิ่งที่จะต้องคำนึงถึง ก็คือ การหาตำแหน่งการตั้งศาลที่ถูกต้อง เพราะถ้าตั้งผิดตำแหน่งผิดที่ อาจส่งผลกระทบได้ ลักษณะชัยภูมิที่ถูกต้องของการตั้งศาล จะต้องเป็น ดังต่อไปนี้
1. การตั้งตรงกับประตูทางเข้าบ้าน ตำแหน่งศาลที่ถูกต้อง เวลาเดินเข้าบ้านจะต้องมองเห็นทันที ซึ่งตำแหน่งที่ตรงกับประตูถือเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะวางตำแหน่งนี้กันอยู่แล้ว แต่จะมีบางกรณีเท่านั้น ที่ศาลเจ้าที่อาจวางตำแหน่งอื่น เช่น ด้านข้างของตัวบ้าน ซึ่งมักจะเป็นการวางเพื่อแก้ไขฮวงจุ้ยมากกว่า

2. ห้ามวางศาลหลบมุม หรือมีสิ่งของมาปิดบังหน้าศาล บริเวณหน้าศาลเจ้าที่จะต้องมีพื้นที่โล่ง ห้ามมีสิ่งใดมาปิดบัง บางบ้านเอาศาลไปวางหลบอยู่ด้านหลังบ้าน เดินเข้าบ้านมองไม่เห็นศาล ลักษณะแบบนี้ก็เข้าข่ายวางศาลผิด
3. ห้ามวางศาลพิงห้องน้ำ นี่ถือเป็นตำแหน่งต้องห้ามเลยทีเดียว เพราะศาลเจ้าที่ถือเป็นธาตุไฟ เมื่อนำไปพิงห้องน้ำ (ธาตุน้ำ) ก็เท่ากับเอาน้ำไปพิฆาตไฟ ความศักดิ์สิทธิ์ของศาลก็จะเสื่อมถอยลง หลายบ้านที่วางแบบนี้ มักจะไม่มีเจ้าที่ มีแต่ศาลเปล่าๆ ตั้งอยู่เท่านั้น
4. ห้ามวางศาลใต้บันได หรือบริเวณทางขึ้นลงบันได กรณีแบบนี้จะพบบ่อยสำหรับอาคารพาณิชย์ ที่หาตำแหน่งในการวางเจ้าที่ค่อนข้างยาก เพราะพื้นที่มีน้อย บริเวณบันไดจะก่อสภาพที่เคลื่อนไหว ศาลเจ้าที่ต้องการความนิ่งสงบ การเอาศาลไปวางบริเวณบันได ไม่ว่าจะเป็นใต้บันได หรือทางขึ้นลงบันได ก็เท่ากับรบกวนเจ้าที่โดยตรง ตำราฮวงจุ้ยบอกว่า เจ้าที่มักไม่ค่อยอยู่บ้าน (ชอบเที่ยว)
5. ห้ามวางศาลใต้คาน ศาลจะถูกคานกดทับ ทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของศาลลดทอนลงไปได้เช่นเดียวกัน
การตั้งศาลเจ้าที่ภายในบ้าน มีเงื่อนไขค่อนข้างจะมาก จึงมีคำกล่าวว่า ถ้าไม่มีตำแหน่งที่เหมาะสม ก็ไม่ควรตั้งศาล เพราะถ้าตั้งอาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี การไม่ตั้งศาลเจ้าที่ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร หลายคนกลัวมากจนเกินเหตุ บ้านที่ไม่มีศาลใช้วิธีไหว้เจ้ากลางแจ้งในช่วงเทศกาลต่างๆ แทนก็ได้
กรณีที่ตั้งศาลเจ้าที่แล้วไม่ดูแล ปล่อยศาลทิ้งร้างไม่เคยกราบไหว้บูชาเลย อย่างนี้ก็อย่าตั้งเสียดีกว่า ถ้ารู้ว่าตัวเองไม่มีเวลา เพราะถ้าเจอเจ้าที่ประเภทจู้จี้ เจ้าระเบียบ ก็อาจจะเจอดีโดนเจ้าที่เล่นงานเอา ทำให้ป่วยบ้าง ทำให้ทะเลาะกันบ้าง หรือไม่ก็ทำให้ลูกจ้างเข้าๆ ออกๆ จนเจ้าของบ้านปวดหัวได้
สรุปก็คือ การจะตั้งศาลเจ้าที่หรือไม่นั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ลองถามตัวเองดูว่าอยากตั้งหรือไม่ ถ้าไม่อยากก็ไม่ต้องตั้ง เพราะถ้าฝืนใจตั้งไปแล้วไม่เคารพบูชา ปล่อยปะละเลย ก็จะเกิดผลเสียมากกว่า ศาลเจ้าที่เป็นเรื่องของความเชื่อและความศรัทธา ถ้าเจ้าบ้านไม่มีตรงนี้ก็ไร้ประโยชน์ครับ ถ้าอยากตั้งก็ต้องทำให้ถูก ถ้าไม่ถูกก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน ลองพิจารณาดูนะครับว่า ควรตั้งศาลเจ้าที่หรือไม่ คำตอบอยู่ที่ตัวเราเองครับ…
บ้านเดี่ยวแบบชั้นเดียว ไม่ค่อยมีคนพูดถึงมากนัก และสมัยนี้ก็ไม่ค่อยนิยม สร้างบ้านชั้นเดียวกันเท่าใด เพราะพื้นที่การใช้สอยน้อย ไม่คุ้มกับราคาที่ดิน ในพื้นที่ดินที่เท่ากัน สู้สร้างบ้าน 2 ชั้นจะดีกว่า
บ้านชั้นเดียวในทางฮวงจุ้ยถือว่าดีหรือไม่..?
ถ้ามองตามหลักฮวงจุ้ยโดยตรง ก็ไม่ถึงกับเสียหายอะไร แต่การจัดฮวงจุ้ยภายในบ้านจะทำได้ยากกว่าบ้าน 2 ชั้น เพราะบ้านชั้นเดียวห้องต่างๆ จะรวมอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นห้องรับแขก, ทำงาน ครัว ห้องส้วม ห้องพระ และห้องนอน ถ้าจัดวางไม่ถูกต้อง จะก่อผลกระทบได้ง่ายกว่าบ้าน 2 ชั้น
เพราะฉะนั้น บ้านชั้นเดียวที่ดี ควรมีลักษณะบ้านที่กว้างพอสมควร เพื่อที่จะได้จัดแบ่งพื้นที่ภายใน ทำเป็นห้องต่างๆได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมภายนอกบ้าน ก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน บ้านชั้นเดียวเหมาะที่จะสร้างในพื้นที่โล่ง เพราะบ้านที่ต่ำจะไม่ปะทะกับลม เหมือนบ้าน 2 ชั้น 3 ชั้น
ถ้าบ้านชั้นเดียวไปอยู่ท่ามกลางบ้านที่สูงกว่า หรือพวกตึกสูงก็จะทำให้ฮวงจุ้ยบ้านเสียทันที ในทางฮวงจุ้ยจะถือว่า ถูกกดข่ม คนในบ้านจะรู้สึกต่ำต้อย ดูด้อยกว่าบ้านอื่น นอกจากนี้ การมีบ้านที่สูงกว่าอยู่ติดกัน ยังเป็นตัวปิดกั้นลมที่จะพัดเข้าบ้านอีกด้วย ส่งผลให้สุขภาพของคนในบ้านไม่ดีอีกด้วย


ถ้าเจ้าของบ้านอยากสร้างบ้านชั้นเดียว แต่ต้องแวดล้อมไปด้วยบ้านที่สูงกว่า ก็สามารถทำได้ครับ โดยการสร้างบ้านบนเนิน เพื่อยกระดับของพื้นไม่ให้ต่างกับบ้านข้างเคียงมากนัก หรือออกแบบรูปทรงบ้านให้ดูสูงโปร่ง ก็พอช่วยได้เช่นเดียวกัน หลักการก็คือ เวลามองจากภายนอก บ้านต้องไม่ดูด้อยกว่าบ้านข้างเคียงเป็นใช้ได้
คราวนี้มาดูที่การจัดภายในบ้านกันบ้าง ก็อย่างที่บอกไปแล้วว่า บ้านชั้นเดียวการจัดภายในค่อนข้างจะยาก เพราะห้องต่างๆจะรวมอยู่ชั้นเดียวกันหมด วิธีการจัดให้สอดคล้องกับหลักฮวงจุ้ย ตำราจะบอกเอาไว้ว่า การจัดผังภายในบ้านชั้นเดียว ควรมีห้องโถงกลาง แบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วน โดยแบ่งส่วนของห้องนอน แยกต่างหากจากห้องรับแขก กับห้องครัว เพราะห้องรับแขก ที่สถานที่รับแขก ไม่เหมาะที่จะมีห้องนอนอยู่ใกล้ เพราะเป็นห้องนอนถือเป็นห้องส่วนตัว ส่วนห้องครัว จะมีมลภาวะเรื่องกลิ่น และควัน จะกระทบกับคนนอนได้


การจัดบ้านชั้นเดียวอีกลักษณะหนึ่ง ที่ดูจะเหมาะสมกว่าก็คือ การทำเป็นบ้านเล่นระดับ เพราะการเล่นระดับของพื้นภายในบ้าน จะช่วยในการแบ่งพื้นได้ชัดเจนกว่า เช่น ส่วนของห้องรับแขก ห้องครัว ห้องน้ำ ห้องอาหาร เล่นระดับต่ำ ส่วนห้องนอน ห้องพระ เล่นระดับสูง


การทำบ้านแบบเล่นระดับจะเหมาะกับบ้านชั้นเดียวมาก เพราะจะแบ่งส่วนของการนอนกับห้องต่างๆได้ง่าย
กรณีของบ้านที่ต้องการวางพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้านชั้นเดียวนั้น จะหาตำแหน่งวางค่อนข้างจะยาก เพราะเงื่อนไขการวางพระมีมาก เช่น ห้ามติดกับห้องส้วม ห้องครัว หรือภายในห้องนอนก็วางไม่ได้ วางในที่ต่ำก็ไม่เหมาะ ถ้าเป็นบ้านเล่นระดับก็จะเลือกวางระดับที่สูงมากกว่าต่ำ แต่ถ้าไม่ใช่เล่นระดับ ส่วนใหญ่จะวางในห้องโถง หรือห้องรับแขก ซึ่งเป็นห้องส่วนกลางของคนในบ้าน
สำหรับเจ้าของบ้านที่ชอบจัดสวน ปลูกต้นไม้รอบๆบ้าน มีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ อย่าปลูกต้นไม้มากจนเกินไป โดยเฉพาะต้นไม้ใหญ่ เพราะจะทำให้เกิดภาวะของ"อินชี่" ต้นไม้จะปกคลุมบ้านจนมืดครึ้ม ความชื้นภายในบ้านจะมาก ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนในบ้าน อย่างแน่นอน
ใครที่อยู่บ้านชั้นเดียว หรือกำลังคิดจะสร้างบ้านชั้นเดียว ลองเอาหลักที่ผมบอกไปใช้ดู รับรองว่า บ้านจะน่าอยู่มากขึ้นแน่ๆ…

ห้องพระ เป็นอีกห้องหนึ่งที่จะต้องนำมาพิจารณากัน ถ้าบ้านหลังนั้นกำหนดให้มีห้องพระ บางบ้านอาจจะไม่มีห้องพระก็ได้ อาจทำแค่หิ้งพระเล็กๆ แทน ซึ่งเรื่องนี้ขึ้นอยู่ความต้องการของเจ้าของบ้านเป็นหลัก
การกำหนดห้องพระให้อยู่ส่วนไหนของบ้านนั้น มีหลักเกณฑ์อยู่หลายประการทีเดียว แต่ต้องบอกเอาไว้ก่อนว่า เรื่องห้องพระเป็นเรื่องละเอียดอ่อน อาจใช้หลักเหตุผลอย่างเดียวมาวิเคราะห์ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของจิตวิญญาณที่หาคำอธิบายได้ยาก 1. ห้องพระวางชั้นบนดีกว่าชั้นล่าง การกำหนดผังบ้าน พยายามเลือกวาง
ห้องพระเอาไว้ชั้นบนสุด ไม่ว่าบ้านจะกี่ชั้นก็ตาม เพราะพระเป็นของสูง เป็นที่สักการะบูชา การวางต่ำกว่าคนในบ้าน ย่อมไม่เป็นมงคลแน่ๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะวางห้องพระชั้นล่างไม่ได้ เพียงแต่ว่า การวางห้องพระชั้นล่าง จะมีข้อจำกัดมากมาย และการหาตำแหน่งในการวางห้องพระค่อนข้างจะยาก เพราะชั้นล่าง จะเต็มไปด้วยห้องรับแขก ห้องอาหาร ห้องครัว ห้องส้วม
นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาห้องที่อยู่ชั้นบนอีกด้วยว่า ห้องชั้นบนที่ตรงกับห้อง
พระชั้นล่าง เป็นห้องอะไร ถ้าเป็นห้องส้วม ห้องนอน ก็จะห้ามเอาไว้อีก บ้านที่เอาห้องพระไว้ชั้นล่าง ชั้นบนที่ตรงกับห้องพระจะต้องเป็นห้องว่าง ที่ไม่มีคนอยู่ถึงจะใช้ได้ ห้องนอนตรงกับห้องพระชั้นล่าง ถ้าพระตรงกับเตียงถือเป็นข้อห้าม

2. ห้องพระห้ามติดกับห้องส้วม เหตุผลในเชิงฮวงจุ้ยบอกว่า ห้องส้วมเป็นธาตุน้ำ ห้องพระเป็นธาตุไฟ ตามกฎเบญจธาตุ ( 5 ธาตุ) ธาตุน้ำพิฆาตธาตุไฟ
ถ้ามีความจำเป็นจะต้องวางห้องพระติดกับห้องส้วม ควรหาตู้มาพิงผนังห้องส้วม แล้วหันพระไปทางอื่นที่ไม่ตรงกับห้องส้วม

บ้านที่เอาห้องพระวางติดกับห้องส้วม ความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระจะเสื่อม เพราะถูกพลังของธาตุน้ำ บั่นทอน นั่นเอง เพราะฉะนั้น ควรหลีกเลี่ยงวางห้องพระติดกับห้องส้วม ถ้ามีความจำเป็นจะต้องวางติดกัน ก็ไม่ควรวางองค์พระพิงผนังห้องส้วม และหาตู้มาพิงด้านที่เป็นกำแพงห้องส้วมเอาไว้ ก็จะถือว่าใช้ได้ 3. ห้องพระต้องอยู่ในทำเลที่สงบ ลองพิจารณาดูพื้นที่บ้านสิว่า มีมุม
ไหนที่ไม่พลุกพล่าน เป็นมุมสงบบ้าง ห้องพระต้องการความสงบนิ่ง ไม่ใช่อยู่ในตำแหน่งที่วุ่นวาย เช่น ติดกับห้องเอนเตอร์เทน ที่มีเสียงดังจากทีวี วิทยุ ห้องครัว ซึ่งนอกจากมีเสียงทำกับข้าวแล้ว ยังมีกลิ่นมารบกวนความสงบอีกด้วย ห้องรับแขก ที่มีเสียงคุยกัน เพราะฉะนั้น การเลือกวางห้องพระเอาไว้ชั้นบน น่าจะหามุมสงบได้ง่ายกว่า เพราะจะมีแต่ห้องนอนเป็นส่วนใหญ่ 4. ห้องพระติดห้องนอน ต้องระวังเรื่องการวางเตียง กรณีที่วาง
ตำแหน่งห้องพระติดกับห้องนอน จะต้องพิจารณาเรื่องการวางเตียงนอน เป็นประเด็นสำคัญ ห้ามวางเตียงในลักษณะหันปลายเท้าไปที่ห้องพระ เพราะถือเป็นการไม่เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ตำแหน่งเตียงนอน ควรวางในลักษณะที่ขวางกับห้องพระ ห้ามวางเอาปลาย เตียงหันไปที่ห้องพระ เพราะคนนอนจะเอาเท้าหันไปที่ห้องพระ ซึ่งถือว่าไม่เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่เป็นมงคลกับคนที่นอน
กรณีที่เอาหัวเตียงไปที่ห้องพระ ต้องพิจารณาว่า ถ้าตำแหน่งขององค์พระหรือ
โต๊ะหมู่บูชาไม่ติดกับหัวเตียง ก็สามารถวางได้ แต่ถ้าติดกันจะถือว่าเสีย เพราะคนนอนจะได้รับอิทธิพลของธาตุไฟ ทำให้ปวดหัวได้ง่าย นอนไม่ค่อยหลับ 5. ห้องพระห้ามต่ำกว่าห้องอื่น กรณีที่เป็นบ้านเล่นระดับ ห้องพระจะต้อง
เลือกวางในตำแหน่งที่สูงกว่าห้องอื่นๆ โดยเฉพาะห้องที่มีคนอยู่ เพราะโดยหลักแล้วคนห้ามนอนสูงกว่าพระ แต่ถ้าห้องที่สูงกว่าไม่มีคนอยู่ เช่น เป็นห้องว่าง ห้องเก็บของ ก็จะอนุโลมให้ทำห้องพระได้
"ห้องพระควรวางหน้าบ้านจริงหรือไม่"
ความจริงแล้วเรื่องการวางห้องพระหน้าบ้านหรือหลังบ้านนั้น ในตำราฮวงจุ้ยไม่ได้ระบุเอาไว้ชัดเจน เพียงแต่บอกว่า ตำแหน่งหน้าคือ "โชคลาภ" ตำแหน่งหลังคือ "บารมี" และจากประสบการณ์ที่ผมไปตระเวนดูบ้านมามากมาย ส่วนใหญ่ก็มักจะวางห้องพระไว้ส่วนด้านหลังมากกว่าด้านหน้าของบ้าน ซึ่งเหตุผลก็คงเป็นเรื่องของความนิ่งสงบมากกว่า บริเวณหน้าบ้านค่อนข้างจะพลุกพล่าน แต่ถ้ามองตามหลักฮวงจุ้ย การวางห้องพระด้านหลังก็น่าจะเหมาะสมกว่า เพราะด้านหลัง แทนความหมายของ "บารมี" นอกจากนี้ ด้านหลังตามหลักชัยภูมิก็มีสภาพเป็น "หยิน" คือ นิ่ง (หน้าเป็นหยางที่เคลื่อนไหว) ก็จะเป็นชัยภูมิที่ถูกต้อง
กฎเกณฑ์ในการวางตำแหน่งห้องพระในบ้าน ความจริงแล้วยังมีเรื่องของทิศและ
ตำแหน่งของดวงดาวที่จะต้องนำมาพิจารณาด้วย แต่ผมว่า เอาชัยภูมิให้ได้เสียก่อน เพราะเรื่องทิศและเรื่องของดาวยังเป็นเรื่องรอง และเป็นเรื่องละเอียดอ่อนพอสมควร ต้องวัดกันเป็นองศา คงต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยจะดีกว่า…
“ห้องนอน” ถือเป็นห้องที่คนส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญมากที่สุด และเนื้อที่ใช้สอยก็มีมากกว่าห้องอื่นๆ ในบ้าน เรียกว่า ครึ่งหนึ่งของบ้านเป็นพื้นที่ของห้องนอนก็ว่าได้
หัวใจของบ้านอยู่อาศัย ก็อยู่ที่ห้องนอนนี่แหละ เพราะบ้านเป็นที่ใช้สำหรับพักผ่อนนอนหลับ ไม่ใช่ที่ทำงาน เพราะฉะนั้น การใส่ใจในการเลือกตำแหน่งห้องนอน แบบห้องนอน จึงต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษกว่าห้องอื่นๆ
การเลือกวางตำแหน่งห้องนอนลงในผังบ้านนั้น จะให้พิจารณาห้องนอนใหญ่ หรือห้องนอนเจ้าของบ้านเป็นอันดับแรก หลังจากนั้น ค่อยพิจารณาห้องอื่นๆ เช่น ห้องลูก ห้องพ่อแม่ ห้องคนใช้ ตามลำดับ เจ้าของบ้านจะต้องอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดของบ้าน เพราะถือเป็นผู้นำของบ้าน จะต้องอยู่แล้วมีกำลังมากที่สุด
บางคนไปให้ความสำคัญกับห้องลูก หรือห้องพ่อแม่มากกว่าห้องตัวเอง จนทำให้
เจ้าของบ้านอยู่แล้วไม่มีกำลัง เจ็บป่วยไม่สบาย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อครอบครัวโดยรวม เพราะฉะนั้น การวางผังห้องนอน จึงต้องคำนึงถึงห้องเจ้าของบ้านเป็นหลักเสียก่อน ในทางฮวงจุ้ยจะเรียกว่า “ห้องนอนประธาน” ส่วนห้องอื่นๆจะเป็นห้องบริวาร ซึ่งจะต้องอยู่ในตำแหน่งที่รองลงมา
หลักเกณฑ์ในการพิจารณาเลือกวางตำแหน่งห้องนอน จะต้องดูอะไรบ้างนั้น ให้พิจารณา ดังนี้
1. สภาพแวดล้อม การจะกำหนดห้องนอน เอาไว้ด้านหน้าหรือด้านหลังของบ้าน จะอยู่ด้านซ้ายหรือด้านขวา ก่อนอื่นจะต้องพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบๆบ้านเสียก่อน ตามหลักฮวงจุ้ยจะบอกเอาไว้ว่า สิ่งที่จะมีผลกระทบต่อห้องนอนโดยตรง ที่มองเห็นได้ชัดก็คือ สิ่งปลูกสร้างภายนอกบ้าน เช่น จั่วสามเหลี่ยมบ้านตรงข้าม หม้อแปลงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ถนนหรือทางที่อยู่ตรงกับห้อง วัด สุสาน เมรุเผาศพ โรงงานอุตสาหกรรม (ที่มีมลภาวะ) บ้านร้าง ต้นไม้ตายซาก ฯลฯ ตำแหน่งห้องนอนใหญ่ จะต้องอยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัย ไม่มีสิ่งใดจากภายนอกบ้านมากระทบ

ห้องที่อยู่ติดกับสิ่งที่กล่าวมานี้ ไม่ควรทำเป็นห้องนอน โดยเฉพาะห้องนอนเจ้าของบ้าน สภาพแวดล้อมที่ถือว่าดี เช่น ทะเลสาบ สวนหย่อม สระว่ายน้ำ หรือที่โล่งที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี ห้องที่ติดกับสภาพแวดล้อมอย่างนี้ ย่อมได้ประโยชน์และเหมาะกับการทำเป็นห้องนอนของประธาน (เจ้าบ้าน) อย่างยิ่ง
“ห้องนอนเจ้าบ้าน จะต้องอยู่หลังบ้าน ห้ามนอนหน้าบ้าน”
อีกหลักหนึ่งที่มีการกล่าวว่า เจ้าของบ้านจะต้องนอนหลังบ้านเสมอ ห้ามนอนหน้าบ้าน เพราะถือตำแหน่งหลังใหญ่กว่าตำแหน่งหน้า (หลังประธาน หน้าบริวาร) หลักเกณฑ์นี้คงไม่ใช่หลักตายตัวหรอกครับ แต่เป็นหลักที่เหมาะกับการนำไปใช้กับที่ทำงานครับ แต่บ้านเป็นที่สำหรับพักผ่อน ถ้าสภาพแวดล้อมด้านหลังบ้านไม่ดี ก็ไม่เหมาะที่จะทำเป็นห้องนอนเจ้าของบ้านอยู่ดี หลายคนหลงประเด็นไปยึดเป็นหลักตายตัว เกิดผลเสียมานักต่อนักแล้ว
โดยปกติแบบบ้านส่วนใหญ่มักจะวางห้องนอนใหญ่เอาไว้หน้าบ้านมากกว่าหลังบ้าน เพราะสภาพแวดล้อมด้านหน้าบ้าน มักจะเป็นที่โล่ง เป็นสนาม เป็นสวนหย่อม ส่วนหลังบ้านมักจะติดกับหลังบ้านคนอื่น ซึ่งจะก่อสภาพอุดตันได้ง่าย ห้องนอนที่เอาไว้ด้านหลังบ้าน ส่วนใหญ่จะเป็นห้องนอนคนแก่ หรือห้องนอนคนใช้ในบ้านมากกว่า แต่ก็อย่างที่ผมบอกล่ะครับ ต้องพิจารณาสภาพแวดล้อมประกอบไปด้วย ถ้าด้านหลังบ้านมีสภาพแวดล้อมดี ก็เหมาะที่จะทำเป็นห้องนอนเจ้าของบ้านครับ
นอกจากนี้ การวางตำแหน่งห้องนอนเจ้าของบ้าน อย่าเลือกตำแหน่งตรงกลางของด้านใดด้านหนึ่ง ควรเลือกวางในตำแหน่งที่ห้องนอนมีพื้นที่ทั้งสองด้านของบ้าน หรือวางตำแหน่งมุมบ้าน นั่นเอง เหตุผลก็เพราะ ตำแหน่งที่อยู่ตรงกลางจะถูกบีบ มีช่องแสงช่องลมเพียงด้านเดียว ก่อสภาพที่ไม่สมดุลภายในห้องนอน
ตำแหน่งห้องนอน A อยู่ในสภาพถูกบีบไม่สมดุลแสงและลมเข้าได้ด้านเดียว ส่วนห้องนอน B มีแสงและลมเข้าได้ 2 ด้านของห้อง ก่อสภาพที่สมดุลมากกว่า
2. ทิศทาง การดูทิศถือว่าสำคัญมาก ไม่ควรละเลยหรือมองข้ามโดยเด็ดขาด ก็อย่างที่กล่าวเอาไว้ ในบทก่อนๆว่า ทิศที่ถือว่าดี ก็คือทิศตะวันออกกับทิศใต้ เพราะจะได้ประโยชน์ในเรื่องของแดดและลมโดยตรง ห้องนอนใหญ่ก็ควรจะเลือกวางในตำแหน่ง 2 ทิศนี้ ซึ่งห้องนอนส่วนใหญ่จะเป็นห้องมุมของบ้าน ก็จะวางรับทิศได้ 2 ทิศอยู่แล้ว
เพื่อให้มองเห็นภาพได้ง่ายขึ้น ผมจะสรุปตำแหน่งห้องนอนใหญ่ตามทิศไล่เรียงจากดีที่สุด ไปจนถึงตำแหน่งแย่สุด
ตำแหน่งทิศดีที่สุดคือ ทิศตะวันออกกับทิศใต้ จะได้ประโยชน์ในเรื่องของลมและแสงแดด เพราะลมจะมาทางทิศใต้ ส่วนแดดจากตะวันออก เป็นแดดที่ไม่ร้อนจัด ช่วงบ่ายห้องจะเย็น ตำแหน่งทิศรองที่ 2 คือ ทิศใต้กับตะวันตก จะได้ประโยชน์ในเรื่องลมอย่างเดียวจะเสียเรื่องแสงแดดที่ค่อนข้างร้อนในตอนบ่าย ตำแหน่งทิศรองที่ 3 คือ ทิศตะวันออกกับทิศเหนือ จะได้ประโยชน์ในเรื่องแสงแดด แต่จะอับลม ส่วนตำแหน่งที่ถือว่าแย่ที่สุด ก็คือ ทิศตะวันตกกับทิศเหนือ ซึ่งจะเสียทั้งเรื่องของแดดที่ร้อนจัดและอับลมเกือบตลอดทั้งปี (ยกเว้นหน้าหนาวประมาณ 3 เดือน) ห้องนอนที่อยู่ในตำแหน่งที่ดีและไม่ดี ไล่ตามลำดับ 1,2,.. โดยพิจารณาเรื่องของทิศเป็นหลัก
แต่ก็ใช่ว่า จะต้องยึดเป็นหลักตายตัวนะครับ เพราะตัวแปรที่สำคัญ ก็คือ
สภาพแวดล้อมอีกนั่นแหละ ยังไงก็อย่าลืมเรื่องนี้เชียวล่ะครับ


ฮวงจุ้ย6