เข้าชมเวปไซท์ได้ที่ www.e-fengshuidesign.com

“ห้องส้วม” ถูกมองว่า เป็นห้องที่ไม่พึงปรารถนา และเป็นที่น่ารังเกียจ ของคนทั่วไป สมัยก่อนห้องส้วมจะต้องแยกออกไปอยู่นอกตัวบ้าน จะไม่นำมาปะปนในบ้านเหมือนเช่นทุกวันนี้ ซึ่งเหตุผลก็มาเรื่องของกลิ่นที่ไม่สะอาด นั่นเอง

ปัจจุบัน ห้องน้ำห้องส้วม ได้กลายเป็นเครื่องประดับชิ้นหนึ่งในบ้านไปแล้ว บางบ้านย่อมเสียเงินตกแต่งห้องน้ำเป็นแสนๆ เพื่อให้ห้องน้ำดูหรูหราน่าใช้ เพราะห้องน้ำห้องส้วมสมัยนี้ ไม่ใช่เป็นที่ใช้สำหรับถ่ายทุกข์เพียงอย่างเดียว แต่จะเป็นทั้งห้องอาบน้ำ แต่งตัว ขัดผิว ทาครีมนวดตัว หรือบ้านที่มีอ่างอาบน้ำ อาจจะใช้เป็นที่แช่น้ำอุ่นเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด อีกด้วย

ในทางฮวงจุ้ย มองห้องนี้เอาไว้อย่างไร..?


ตามหลักฮวงจุ้ยมองว่า ห้องน้ำห้องส้วม เป็นห้องที่จะก่อผลกระทบให้กับคนในบ้านได้ โดยเฉพาะในเรื่องของโรคภัยและการเจ็บป่วย เพราะห้องส้วม เป็นห้องที่ก่อ “อินชี่”ได้ง่าย อินชี่ที่มากเกินไปจะเป็นตัวทำลายสุขภาพของคนบ้าน ในทางฮวงจุ้ย จึงมักจะแนะนำให้คนอยู่ห่างจาก “อินชี่” เอาไว้

ถ้ามองตามหลักตรรกวิทยา “อินชี่” ในที่นี้ก็จะหมายถึง กลิ่น และความอับชื้นภายในห้องส้วม นั่นเอง เพราะทั้ง 2 สิ่งนี้จะมีผลกระทบต่อคนได้ กลิ่นจากห้องส้วม ที่ดูแลไม่สะอาด ย่อมไปรบกวนและสร้างความหงุดหงิดให้กับคนในบ้านได้ ผมเชื่อว่า ทุกคนก็คงไม่ชอบให้บ้านตัวเองมีกลิ่นที่ไม่สะอาดแน่ๆ

ส่วนเรื่องของความอับชื้นนั้น ถ้าภายในห้องส้วมมีความอับชื้นมากๆ สิ่งที่ตามมาก็คือ ห้องส้วมก็จะกลายเป็นสถานที่บ่มเพาะเชื้อโรค เช่น เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย คนที่อยู่ใกล้ห้องส้วม เช่น มีห้องน้ำอยู่ในห้องนอน ก็จะได้รับเชื้อโรคเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายได้ง่าย ซึ่งแน่นอนว่า โอกาสที่จะเจ็บป่วยก็จะมีมากตามไปด้วย

เห็นไหมครับ พิษสงของเจ้าห้องส้วมมีมากกว่าที่เราคิดกัน บ้านที่มีห้อง ส้วมมากเกินไป มักจะประสบปัญหานี้ได้ง่าย จึงมีข้อบัญญัติในทางฮวงจุ้ยข้อหนึ่งที่บอกว่า

“ห้ามมีห้องส้วมมากกว่าสมาชิกในบ้าน”


เดี๋ยวนี้บ้านสมัยใหม่กลับไปเน้นที่ห้องน้ำห้องส้วมกันมาก เรียกว่า ยิ่งมีมากยิ่งกลายเป็นจุดขาย เพราะมองในแง่ของความสะดวกสบายเพียงอย่างเดียว ห้องน้ำห้องส้วมแทบจะมีอยู่ทั่วบ้าน ไม่ว่าจะเป็นห้องนอน ห้องรับแขก ห้องครัว ห้องคนใช้ เดินไปทางไหนของบ้านก็เจอห้องส้วม เต็มไปหมด

บ้านบางหลังมีคนอยู่เพียง 2 คน แต่กลับมีห้องส้วมมากถึง 4 ห้อง เพราะแบบบ้านให้มาอย่างนั้น คนในบ้านจึงไม่สามารถใช้ห้องส้วมได้ครบทุกห้อง การปล่อยห้องส้วมให้ว่างโดยไม่ได้ใช้นั้น ย่อมจะก่อผลเสียขึ้นอย่างแน่นอน

ภายในห้องส้วม ย่อมจะต้องมีโถส้วมอยู่ ไม่ว่าจะเป็นแบบชักโครกหรือแบบนั่งยอง ในโถส้วมนั้นจะมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา การปล่อยให้น้ำนิ่งโดยไม่มีการหมุนเวียนเลยเป็นเวลานานๆ น้ำก็จะเสีย ยิ่งมีเศษผง ตัวแมลงตกลงไปตาย ก็ยิ่งเพิ่มความเน่าเสียของน้ำมากขึ้น มลภาวะภายในห้องส้วมก็จะก่อตัวขึ้นทั้งเรื่องของกลิ่นและเชื้อโรค

ห้องส้วม ห้ามอยู่กลางบ้าน..!

นี่เป็นบทบัญญัติอีกข้อหนึ่งในทางฮวงจุ้ย บ้านใครเข้าข่ายที่มีห้องส้วมอยู่กลางบ้าน ก็จำไว้เลยว่า บ้านนั้นผิดฮวงจุ้ยแล้ว เหตุผลก็สามารถมองเห็นได้ชัดอยู่แล้ว ห้องส้วมเป็นห้องที่ก่อมลภาวะได้ง่าย เพราะฉะนั้น จึงเป็นห้องที่ต้องการระบบระบายอากาศที่ดี เพื่อระบายกลิ่น และความชื้นออกสู่นอกบ้าน

แต่ถ้าห้องส้วมเกิดมาอยู่ตรงกลางบ้านเสียแล้ว การระบายออกของกลิ่นและความชื้น จะระบายไปทางไหนล่ะ ก็หนีไม่พ้นที่จะระบายอบอวนไปทั่วบ้านไงไม่น่าถาม คงจะนึกภาพกันออกนะครับ

ห้องส้วมที่มีสภาพอุดตัน ไม่มีช่องแสงช่องลม อากาศภายในห้อง ย่อมจะต้องเสียเป็นธรรมดา ลองสังเกตดูห้องนอนที่เราใช้นอนกันอยู่ทุกวัน ถ้าเราเกิดไปต่างจังหวัดสักวันสองวัน กลับมาเปิดห้องนอนอีกที จะมีกลิ่นอับเกิดขึ้น เราจะต้องรีบเปิดประตูหน้าต่างเพื่อให้กลิ่นอับเหล่านั้นหายไป

เรื่องของห้องส้วมก็เช่นเดียวกัน ถ้าห้องส้วมไม่มีช่องระบายออกภาย นอกบ้าน อากาศภายในห้องไม่หมุนเวียน ก็จะยิ่งสร้างมลภาวะมาก เวลาเปิดประตูห้องส้วมแต่ละครั้ง อากาศเสียภายในห้องส้วม ก็จะฟุ้งกระจายออกมา หมุนเวียนอยู่ในบ้าน ผลกระทบที่ตามมาย่อมตกอยู่กับคนในบ้าน อย่างไม่ต้องสงสัย

“ห้องส้วมควรอยู่ทางทิศตะวันตก”

ตำแหน่งห้องส้วมที่ดีและถูกต้องตามหลักของฮวงจุ้ย จึงบัญญัติเอาไว้ว่า จะต้องอยู่ในตำแหน่งที่มีการระบายอากาศที่ดี มีแสงแดดส่องถึง ทิศตะวันตก จึงเป็นทิศที่เหมาะที่จะเป็นตำแหน่งของห้องส้วม เพราะแสงแดดในยามบ่ายที่ร้อนแรง จะช่วยเผาผลาญและไล่ความอับชื้นภายในห้องน้ำห้องส้วมได้เป็นอย่างดี

อีกตำแหน่งหนึ่ง ที่ไม่ควรเอาห้องส้วมไปไว้ก็คือ บริเวณหน้าบ้าน เพราะนอกจากคนโบราณจะถือว่า การมีห้องส้วมอยู่หน้าบ้านไม่เป็นมงคลแล้ว ในทางฮวงจุ้ยเองก็จะอธิบายเอาไว้ว่า “อินชี่” ของห้องส้วม จะไปทำลายชี่ที่ดี ที่ไหลเข้าทางหน้าบ้านจนหมดสิ้น ทำให้บ้านนั้นอับโชค

ถ้ามองตามหลักตรรกะวิทยา การมีห้องส้วมอยู่บริเวณหน้าบ้าน จะส่งผลเสียในเรื่องของมลภาวะเช่นเดียวกัน เพราะลมที่พัดเข้าทางหน้าบ้าน จะพัดพาเอากลิ่น และความอับชื้นเข้าไปภายในบ้าน ซึ่งจะไปรบกวนคนในบ้าน นั่นเอง

เมื่อเรารู้ข้อเสียและตำแหน่งของห้องส้วมกันไปแล้ว เรื่องของการตกแต่งหรือจัดวางข้าวของภายในห้องน้ำห้องส้วม ก็ควรที่จะใส่ใจเช่นเดียวกัน หลักฮวงจุ้ยบอกว่า ห้องส้วมมีสภาพเป็นอินหรือหยินมาก การตกแต่งก็ควรจะเพิ่มความเป็นหยางเข้าไปให้มาก เพื่อปรับความสมดุลภายในห้องนั้นให้เกิดขึ้น

วิธีเพิ่มความเป็นหยาง ก็ทำได้โดยการเพิ่มแสงสว่างให้มาก ห้องส้วมไม่ควรมีแสงที่มืดจนเกินไป แสงสว่างจะช่วยลดความชื้นภายในห้องส้วมได้ เพราะฉะนั้น ช่องแสงจึงควรทำให้มีขนาดใหญ่พอสมควร ถ้าห้องน้ำมีขนาดเล็ก อาจใช้กระจกเงาบานใหญ่มาช่วยเพิ่มความสว่างได้

เรื่องของลม ซึ่งเป็นพลังหยางโดยตรงก็เช่นเดียวกัน ช่องลมภายในห้องส้วมจะต้องมีขนาดที่เหมาะสม ไม่เล็กจนเกินไป เพื่อที่จะให้การระบายอากาศเป็นไปได้ดี หรืออาจจะใช้เครื่องดูดอากาศช่วย ก็จะให้ผลดีมากขึ้น

จะเห็นได้ว่า เรื่องของห้องน้ำห้องส้วมที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน จะเป็นเรื่องที่จะต้องให้ความสนใจมากมายขนาดนี้ หลายคนเคยสงสัยว่า ทำไมคนสมัยนี้จึงเจ็บป่วยกันได้ง่าย อะไรนิดอะไรหน่อยก็ป่วย ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไปลงความเห็นว่า เป็นเพราะสภาพแวดล้อมโดยรวมของอากาศ น้ำ มีมลพิษมาก โดยเฉพาะคนที่อยู่ในเมือง

แต่หลายๆ คนลืมนึกไปว่า มลภาวะที่ใกล้ตัวเรามากที่สุด ก็อยู่ภายในบ้านเรานี่เอง ไม่บอกก็คงรู้นะครับว่าเป็นห้องอะไร..?





"บันไดบ้าน" ในทางฮวงจุ้ยถือเป็นจุดที่มีความสำคัญมาก เพราะเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างชั้น เป็นการถ่ายเทชี่จากชั้นล่างขึ้นสู่ชั้นบน ถ้าวางตำแหน่งบันไดผิด ย่อมส่งผลเสียอย่างแน่นอน

เรื่องของบันได มีข้อบัญญัติมากมายเกินคาด ผมไปค้นตำราหลายเล่ม มีพูดถึงบันไดเอาไว้ทุกเล่ม ไม่มีเล่มไหนไม่พูดถึงเลย แสดงว่า บันไดเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม หรือละเลยเป็นอย่างยิ่ง ผมจะเริ่มไล่เรียงไปที่ละประเด็นก็แล้วกันนะครับ โดยเริ่มจากนอกบ้านกันก่อน

"บันได..ห้ามวางตรงกับประตูเข้าบ้าน"

นี่เป็นข้อบัญญัติแรกที่ควรใส่ใจ เพราะถือว่าเป็นด่านแรกที่ชี่จะไหลผ่านเข้าสู่ภายในบ้าน

"ทำไมถึงต้องห้ามด้วยล่ะ..?"

หลายคนอาจสงสัยในประเด็นนี้ ถ้าอธิบายตามหลักฮวงจุ้ยก็จะบอกว่า การที่บันไดอยู่ตรงกับประตูทางเข้าบ้าน จะทำให้กระแสชี่ไหลเข้าบ้านไม่สะดวก นอกจากนี้ ชี่ในบ้านยังไหลออกได้ง่าย บ้านลักษณะนี้ในทางฮวงจุ้ยจะบอกว่า "เก็บทรัพย์ไม่อยู่" "ขัดทรัพย์" เพราะเวลาชี่ไหลเข้าบ้าน ก็จะถูกผลักออกมาเลย เรียกว่า หาเงินมาเท่าไหร่ ก็ไม่มีเหลือ


กระแสชี่ที่ไหลเข้าบ้าน ปะทะกับกระแสชี่ที่ไหลออก ทำให้ชี่ดีเข้าบ้านไม่ได้


ถ้ามองตามหลักตรรกะวิทยา ก็จะบอกว่า การทำบันไดตรงกับประตูทางเข้านั้น ไม่สะดวกเช่นเดียวกัน แทนที่จะเดินเข้าบ้านได้โดยปกติ แต่จะต้องมาเสียเวลาเดินขึ้นบันไดอีกหลายขั้นกว่าจะเข้าบ้านได้ การมีขั้นบันไดมาก ยังเสี่ยงต่อการสะดุดหกล้ม หรือลื่นล้มเวลาฝนตกอีกด้วย

กรณีที่จำเป็นจะต้องทำบันไดบริเวณประตูทางเข้าบ้าน ให้เลี่ยง มาทำด้านข้างแทน เพื่อให้บริเวณหน้าประตูเป็นชานพัก แต่ต้องระวังอย่าทำบันได 2 ข้าง ในลักษณะเดินขึ้นข้างหนึ่ง แล้วไปลงอีกข้างหนึ่ง จะเข้าข่ายบันไดเมรุเผาศพ คนโบราณถือว่าอัปมงคลยิ่ง

อย่าลืมว่า บริเวณประตูบ้าน เป็นจุดที่มีการเข้าออกมากกว่าจุดอื่นในบ้าน เพราะฉะนั้น ควรทำให้สะดวกสบายในการก้าวเดิน จะดีกว่า

"ห้ามวางบันไดในบ้านตรงกับประตู"

ข้อบัญญัตินี้ จะคล้ายกับกรณีแรก เพียงแต่ว่าบันไดอยู่ในบ้านเท่านั้น ลักษณะบันไดที่จะก่อผลเสีย จะต้องเป็นกรณีที่ทางขึ้นลงบันไดอยู่ในแนวเดียวกับประตูบ้านเท่านั้น เพราะกระแสที่ไหลลงบันไดมาจากชั้นบน จะไหลออกนอกบ้านทันที

อย่างลืมเรื่องระยะห่างด้วยนะครับ ยิ่งบันไดใกล้ประตูยิ่งมีผลกระทบมาก ถ้าหาฉากมากั้นระหว่างประตูกับบันไดได้ ก็จะเป็นการแก้ไขที่ดี เพราะการโยกย้ายบันได เพื่อหลบประตูคงทำได้ยาก

"ห้ามวางตำแหน่งบันไดอยู่กลางบ้าน"

ตำแหน่งใจกลางของบ้าน ในทางฮวงจุ้ยจะถือว่าเป็นตำแหน่งหัวใจของบ้านเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นการจะนำอะไรไปวางในจุดนี้ จะต้องพิจารณาให้มาก กรณีจุดกลางบ้านเป็นบันได ก็จะถือว่าเสีย และเป็นข้อห้ามในทางฮวงจุ้ย

ตำราฮวงจุ้ยอธิบายไว้ว่า เจ้าของบ้านจะอยู่ไม่ติดบ้าน เป็นประเภทชีพจรลงเท้า เนื่องจากบันไดมีสภาพที่เคลื่อนไหว ไม่หยุดนิ่ง นั่นเอง นอกจากนี้ เจ้าของบ้านยังอาจเป็นโรคหัวใจได้ง่ายอีกด้วย เพราะตำแหน่งหัวใจ มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา

คำว่า”กลางบ้าน” จะต้องตรงกลางจริงๆนะครับ ไม่ใช่ตรงกลางริมบ้าน อย่างนั้นไม่ใช่ตำแหน่งกลางบ้านครับ

"ตำแหน่งบันไดที่ดี ควรอยู่ข้างบ้าน"

คำว่า "ข้างบ้าน"ในที่นี้ จะอยู่ซ้ายหรือขวาก็ได้ ไม่ผิดกติกาใดๆ แต่ส่วนใหญ่จะให้พิจารณาจากประตูทางเข้าบ้านเป็นหลัก เช่น ประตูเข้าอยู่ซ้าย บันไดก็ควรอยู่ขวา ประตูอยู่ขวา บันไดก็ต้องอยู่ซ้าย จึงจะถือว่าดี

ตำแหน่งของบันไดถ้าวางไว้ส่วนกลางของบ้านได้จะถือว่าดีมาก โดยเฉพาะบ้านหลังใหญ่ๆ เหตุผลก็เพราะ ถ้าบันไดอยู่ส่วนกลาง เวลาจะเดินไปหน้าบ้าน หรือหลังบ้าน จะมีระยะห่างที่พอๆกัน

ถ้าเอาบันไดไว้หน้าบ้าน เวลาจะเดินไปหลังบ้านทีก็ต้องเดิน ไกล คนอยู่หลังบ้านจะไปชั้นบน ก็ต้องเสียเวลาเดินมาหน้าบ้านเพื่อขึ้นบันได ส่วนกลางบ้านจึงเป็นจุดที่สะดวกที่สุด แต่ไม่ใช่ใจกลางบ้านนะครับ อย่าสับสนกับข้อห้ามเรื่องบันไดอยู่กลางบ้าน

"บันไดห้ามชันและแคบ"

การสร้างบันได อย่าลืมใส่ใจในเรื่องของความสูงชัน และความกว้างของบันไดด้วย เพราะถือเป็นเรื่องสำคัญทีเดียว บันไดที่ดีจะต้องลาดชันไม่เกิน 45 องศา บันไดที่กว้างย่อมดีกว่าแคบ การเดินจะสะดวก ไม่เสี่ยงต่ออุบัติเหตุที่จะอาจจะเกิดขึ้นได้


"ขั้นบันไดห้ามเป็นเลขคู่"

เรื่องนี้ความจริง ไม่อยากพูดถึงสักเท่าไหร่ เพราะเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมากในเรื่องวิธีการนับขั้นบันได บางตำราบอกว่า ไม่นับพื้นชั้นบนเป็น 1 ขั้น ไม่นับชานพักบันได บางตำราบอกชานพักต้องนับ แต่บางตำรากลับให้นับช่องวางระหว่างขั้นบันไดแทน

อย่าไปซีเรียสเลยครับเรื่องนี้ คนสมัยก่อนจะถือเลขมงคล ถ้าเป็นเลขคี่จะหมายถึงคนเป็น ส่วนเลขคู่จะหมายถึงคนตาย แค่นี้จริงๆครับ ผมว่า ไปใส่ใจเรื่องอื่นจะดีกว่า เช่น จะทำอย่างไรให้บันไดเดินแล้วสะดวก สบาย ไม่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ น่าจะดีกว่ามานั่งนับขั้นบันไดกัน

ความจริงยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับบันไดอีกมาก เช่น บริเวณบันไดจะต้องสว่าง เรื่องของรูปทรงบันไดที่มีหลายรูปแบบ หรือบันไดควรจะเวียนขวาหรือเวียนซ้าย เอาไว้ถ้ามีโอกาสผมจะนำมาพูดถึงอีกสักครั้งก็แล้วกันนะครับ


"ดวงชะตาไม่สมพงศ์กับบ้าน..ทำอย่างไรดี..?" ปัญหาที่คนส่วนใหญ่มักจะสงสัย และตั้งคำถามกับผมเสมอ ก็คือ ถ้าดวงชะตาเจ้าของบ้าน ไม่ถูกกับทิศทางบ้านที่อยู่จะทำอย่างไรดี มีวิธีแก้ไขหรือไม่ ถ้าไม่แก้ไขจะเกิดเรื่องร้ายแรงหรือเปล่า หลายคนจะวิตกกังวลในเรื่องนี้มาก


ก่อนที่ผมจะตอบคำถามนี้ ผมคงต้องบอกให้ท่านผู้อ่านทราบกันก่อนว่า วิชาฮวงจุ้ยสอนให้เรารู้เรื่องอะไร หลักใหญ่ของวิชาฮวงจุ้ยต้องการจะบอกเราว่า จะอยู่อย่างไรก็ได้ ขอให้มีสภาพแวดล้อมที่ดี ที่สมดุล อยู่ในตำแหน่งที่แวดล้อมไปด้วยอากาศที่บริสุทธิ์ เส้นทางเข้าออกสะดวกสบาย ไม่มีสิ่งใดๆที่เป็นมลภาวะมาอยู่ใกล้ๆบ้าน แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว

วิชาฮวงจุ้ยสมัยก่อน จะพิจารณาแค่นี้จริงๆ คือ ให้ความสำคัญในเรื่องของชัยภูมิเป็นหลัก เรื่องของทิศ เรื่องของดวงชะตา ยังไม่มีการพูดถึง ถ้าจะเป็นเรื่องทิศก็เป็นเรื่องของทิศทางลมเสียล่ะมากกว่า ไม่ใช่ทิศดีทิศร้ายโดยใช้การคำนวณของการเดินดาวเหมือนสมัยนี้

เรื่องของทิศ อิทธิพลของดวงดาว ดวงชะตาบุคคล รหัสปากัวแปดทิศ และอีกมากมาย จะเกิดขึ้นทีหลัง แต่พื้นฐานเดิมของวิชาฮวงจุ้ยยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ชัยภูมิหรือสภาพแวดล้อมยังเป็นหัวใจของวิชาฮวงจุ้ย

เพราะฉะนั้น ถ้าบ้านใครอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเข้ามากระทบกับคนในบ้าน ก็ถือว่าบ้านหลังนั้นมีฮวงจุ้ยที่ดีแล้ว วัดจากความรู้สึกของตัวเองดูก็ได้ว่า บ้านที่ตัวเองอยู่ทุกวันนี้ อยู่แล้วสบายไหม ถ้าสบายดีก็ไม่เห็นจะต้องไปกังวลเรื่องอะไรเลย

ผมมักจะเจอปัญหานี้บ่อยมาก ประเภทที่อยู่บ้านสบายอยู่ดีๆ วันดีคืนดีก็มีคนมาทักว่า ฮวงจุ้ยบ้านคุณไม่ดี ทำให้เกิดอาการวิตกกังวลขึ้นมาในใจ กลายเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต ต้องวิ่งหาซินแสฮวงจุ้ยมาดูที่บ้าน เสียเงินเสียทองโดยใช่เหตุ

เพราะซินแสมาดูแล้วก็บอกว่า ไม่เห็นเสียตรงไหน ซินแสที่มีความรู้จริงนะครับ ถ้าเจอประเภทซินแสหมอผีอาจสวมรอยบอกว่า ฮวงจุ้ยเสีย เพื่อหวังผลประโยชน์เรื่องของการแก้เคล็ด ต้องระวังให้ดี

เรื่องของดวงชะตากับทิศทางบ้านที่สมพงศ์นั้น ถ้าถามผมว่า จำเป็นจะต้องดูหรือไม่ ผมคงต้องตอบว่า จำเป็น เพราะดวงชะตากับทิศทางถือว่ามีความสำคัญ แต่ไม่ใช่ประเด็นที่จะต้องนำมาพิจารณาเป็นอันดับแรก

เพื่อให้เข้าใจกันมากขึ้น ผมจะเปรียบเทียบน้ำหนักความสำคัญของการวิเคราะห์ฮวงจุ้ยว่า ดีหรือไม่ดีนั้น จะให้เป็นเปอร์เซนต์ ดังนี้


ชัยภูมิที่ตั้ง (สภาพแวดล้อม)
= 50 %
ทิศทาง อิทธิพลของดวงดาว = 30 %
ดวงชะตาบุคคล = 15 %
ฤกษ์ยาม = 5 %

เรื่องของดวงชะตาจะมีผลกระทบเพียง 15 % เท่านั้น ถ้าคุณอยู่ในชัยภูมิที่ดีแล้ว ต่อให้ทิศผิด ดวงชะตาไม่ถูกกับทิศ ก็ยังถือว่าอยู่ได้สบาย แต่ถ้าดวงชะตาถูกกับทิศ แต่ชัยภูมิผิด อย่างนี้มีปัญหาแน่ๆครับ

จะต้องทำความเข้าใจตามนี้นะครับ
ย้อนกลับมาที่คำถามที่ว่า ดวงชะตาไม่สมพงศ์กับทิศบ้าน จะทำยังไงดี คำว่า "ไม่ถูกกับทิศบ้าน" ในทางฮวงจุ้ยจะหมายถึงธาตุปีเกิดของเจ้าบ้าน ไม่สัมพันธ์กับธาตุของทิศหลังบ้าน นั่นเอง
ผมจะสรุปตารางปีเกิดกับทิศบ้านที่ไม่สมพงศ์กัน ดังนี้


ปีเกิด ธาตุ ทิศหลังบ้าน ธาตุ
ชวด,กุน น้ำ ตะวันออกเฉียงเหนือ,ตะวันตกเฉียงใต้ ดิน
ขาล,เถาะ ไม้ ตะวันตก,ตะวันตกเฉียงเหนือ ทอง
มะเส็ง,มะเมีย ไฟ เหนือ น้ำ
วอก,ระกา ทอง ใต้ ไฟ
ฉลู,มะโรง
มะแม,จอ ดิน ตะวันออก,ตะวันออกเฉียงใต้ ไม้


ใครที่อยู่บ้านตามที่กล่าวมานี้ ก็ถือว่า ดวงชะตาไม่สมพงศ์กับบ้าน โดยความหมายของฮวงจุ้ยจะบอกว่า เจ้าของบ้านจะขาดกำลังเกื้อหนุน มีโอกาสที่จะล้มเหลวได้ง่าย เพราะทิศทางบ้านจะเป็นตัวบั่นทอนดวงชะตาเจ้าบ้าน นั่นเอง

ถ้าถามผมว่า มีผลกระทบรุนแรงหรือไม่ เรื่องนี้ก็อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า มีบ้างแต่ไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นที่ตัวบุคคลมากกว่าจะกระทบคนทั้งบ้าน เช่น อาจจะเป็นเรื่องเจ็บป่วยไม่สบายบ่อย หรืออยู่แล้วมีความรู้สึกไม่กระตือรือร้นก็ได้

วิธีปรับแก้จะทำได้อย่างไร..?
ตามหลักฮวงจุ้ยจะบอกเอาไว้ว่า วิธีแก้จะมีหลายวิธีด้วยกัน วิธีที่ได้ผลมากที่สุด ก็คือ หาบ้านใหม่ที่มีทิศทางสมพงศ์กับดวงชะตา พูดง่ายๆ ก็คือ ย้ายบ้านหนี นั่นเอง แต่เป็นวิธีที่ทำยากที่สุด และเสียหายมากที่สุด


วิธีที่ 2 ย้ายประธานในบ้านใหม่ เช่น อาจจะกำหนดประตูทางเข้าบ้านใหม่ จากเดิมที่เคยเข้าด้านหน้า ก็ย้ายมาเข้าด้านข้างแทน แต่เรื่องนี้ ไม่ใช่จะทำกันได้ง่ายๆ จะต้องดูองค์ประกอบของบ้านด้วย ว่าสามารถทำได้หรือไม่ ถ้าเป็นบ้านแบบทาวน์เฮ้าส์ หรืออาคารพาณิชย์ก็หมดสิทธิ์ครับ

นอกจากนี้ การหาตำแหน่งของประตูทางเข้าใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน จะต้องพึ่งพาผู้รู้หรือซินแสฮวงจุ้ยในการหาตำแหน่งประตูบ้านให้ เพราะถ้าเกิดเลือกตำแหน่งผิด อาจจะส่งผลเสียมากกว่าเดิมก็ได้ เพราะประตูทางเข้าบ้าน ถือเป็นจุดที่สำคัญที่สุดของบ้าน และจะต้องสัมพันธ์กับการจัดวางข้าวของภายในบ้านอีกด้วย

วิธีที่ 3 การวางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในทิศที่ส่งเสริมดวงเจ้าของบ้าน หาตำแหน่งทิศที่ถูกโฉลกกับดวงเจ้าของบ้าน แล้วนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปวางพิงทิศนั้น

จะรู้ได้อย่างไรว่าดวงใคร จะวางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางทิศไหน..?

ปีเกิด ทิศวางสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ชวด,กุน ตะวันตก,ตะวันตกเฉียงเหนือ
ขาล,เถาะ เหนือ
มะเส็ง,มะเมีย ตะวันออก,ตะวันออกเฉียงใต้
วอก,ระกา ตะวันออกเฉียงเหนือ,ตะวันตกเฉียงใต้
ฉลู,มะโรง
มะแม,จอ ใต้
หมายเหตุ : ทิศวางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะต้องยึดทิศหลังพิง ไม่ใช่ทิศหน้า
ลองเลือกกันดูว่า วิธีไหนน่าจะเหมาะกับบ้านของคุณที่สุด …

"ประตูบ้าน" ในทางฮวงจุ้ยถือเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการวิเคราะห์ฮวงจุ้ยว่าดีหรือไม่ดี เพราะถือว่า ประตูเป็นด่านแรกที่พลังชี่จะไหลผ่านเข้าสู่บ้าน ถ้าเสียตั้งแต่ทางเข้าแล้ว ต่อให้ภายในจัดได้ดีแค่ไหน ก็ไม่เกิดประโยชน์

การพูดถึงประตูบ้าน จะหมายถึง "ประตูรั้ว" กับ "ประตูเข้าบ้าน" จะต้องพิจารณาทั้งสองประตูนี้ ไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะทั้งสองประตูเป็นด่านแรกในการรับพลังชี่เข้าสู่บ้าน การวางตำแหน่งของประตูบ้าน จะมีหลักเกณฑ์มากมาย ลองมาดูสิว่า มีข้อบัญญัติอะไรบ้าง

1. วางประตูรับกระแสวิ่งเข้า
การกำหนดตำแหน่งของประตู โดยเฉพาะประตูรั้ว จะต้องดูกระแสวิ่งเข้าเป็นหลัก โดยในตำราฮวงจุ้ยจะระบุเอาไว้ว่า "กระแสวิ่งซ้าย ให้เปิดประตูด้านขวา กระแสวิ่งขวา ให้เปิดประตูด้านซ้าย" หลักการพิจารณากระแสวิ่งเข้า ก็ไม่ยากครับ ให้นึกถึงเวลาขับรถ กระแสที่วิ่งเข้าก็คือ กระแสที่รถวิ่งเข้าสู่ตัวบ้าน นั่นเอง


การวางตำแหน่งประตูรั้วตามกระแสชี่ที่วิ่งเข้าสู่ตัวบ้าน


2. ประตูอยู่ตำแหน่งมังกร
ถ้านำหลักเสือขาว-มังกรเขียว มาพิจารณา ตำแหน่งประตูเข้าบ้าน (ประตูรั้ว) จะต้องอยู่ด้านซ้ายของบ้านเสมอ เพราะตำราฮวงจุ้ยจะถือว่า ตำแหน่งมังกรเป็นตำแหน่งใหญ่ การทำเป็นประตูทางเข้าถือว่าเป็นมงคล จะดีกว่าการเปิดประตูทางเข้าในตำแหน่งเสือขาว หรือด้านขวาของบ้าน แต่หลักนี้ไม่ใช่หลักตายตัว ยังไงต้องดูกระแสวิ่งเข้าประกอบด้วยี

3. ประตูเข้าอยู่กลาง
การวางตำแหน่งประตูทางเข้าบ้าน ไว้ตรงกลางจะเหมาะกับบ้านหลังใหญ่เท่านั้น เพราะหลักฮวงจุ้ยจะห้ามเอาไว้ว่า กระแสที่วิ่งมาจากประตูทางเข้า ห้ามชนตัวบ้าน ถ้าบ้านมีพื้นที่น้อย แล้ววางประตูอยู่ตรงกลาง โอกาสที่จะกระแสจะวิ่งชนตัวบ้านก็มีสูง

4. ประตูรั้วห้ามตรงกับประตูบ้าน
เมื่อได้ตำแหน่งของประตูรั้วแล้ว การพิจารณาประตูเข้าสู่ตัวบ้าน จะต้องเลือกวางประตูไม่ให้ตรงกับประตูรั้ว เพราะเป็นกฎข้อห้ามในทางฮวงจุ้ย เนื่องจากกระแสจะวิ่งเป็นเส้นตรงเข้าสู่ตัวบ้าน ถือเป็นกระแสที่ร้าย ห้ามวางอย่างเด็ดขาด ตำแหน่งที่ดีก็คือ ประตูเข้าบ้าน จะต้องอยู่เฉียงกับประตูรั้ว

5. บริเวณหน้าประตูต้องโล่ง
หน้าประตูใหญ่เข้าบ้าน ถ้าเป็นสนามหรือมีที่โล่ง จะถือว่าดีมาก เพราะบริเวณที่โล่งหน้าประตูบ้านก็คือ "เหม่งตึ้ง" หรือลานรับพลัง นั่นเอง ตำราฮวงจุ้ยเขียนไว้ชัดว่า หน้าประตูห้ามอุดตัน หรือมีสิ่งปิดบัง เช่น ต้นไม้ใหญ่ บริเวณหน้าประตูที่ดีจะต้องให้แสงแดดส่องถึง มีลมพัดผ่านได้ดี บ้านนั้นก็จะรับแต่สิ่งดีๆเข้าบ้าน


ประตูรั้วกับประตูบ้านตรงกัน ถือเป็นข้อห้ามร้ายแรงในทางฮวงจุ้ย


6. หลีกเลี่ยงการวางตำแหน่งประตูอยู่ข้างบ้าน
แบบบ้านส่วนใหญ่ มักวางตำแหน่งประตูเข้าบ้านให้หันมาหน้าบ้าน มากกว่าจะวางประตูเข้าไว้ทางด้านข้างของบ้าน ประตูที่หันหน้าไปสู่ถนนหน้าบ้าน จะรับกระแสเข้าได้ดีกว่า

7. ประตูเข้าบ้านห้ามมี 2 ประตู
นี่เป็นกฎข้อห้ามอีกข้อหนึ่ง เพราะในทางฮวงจุ้ยถือว่า การมีประตูทางเข้าบ้าน 2 ประตู เท่ากับมี 2 ปาก จะเก็บทรัพย์ไม่อยู่


8. ขนาดของประตูต้องสมดุลกับตัวบ้าน
ประตูจะใหญ่จะเล็ก ต้องขึ้นอยู่กับตัวบ้านเป็นหลัก ประตูถ้าเล็กเกินไป ทำให้กระแสชี่ไหลเข้าไม่สะดวก ถ้าประตูใหญ่เกินไป กระแสชี่ก็จะกระจายออก เก็บรักษาชี่ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ทำให้พอดีกับขนาดของบ้านก็แล้วกัน แต่ส่วนใหญ่ประตูเข้าบ้านถ้ามีขนาดใหญ่จะดีกว่าเล็ก และมักทำเป็นประตูเปิดแบบสองบาน มากกว่าประตูบานเดียว

9. การกำหนดทิศของประตู
การที่ประตูจะหันไปทิศทางไหนดีนั้น ในทางฮวงจุ้ยบอกเอาไว้ว่า ให้พิจารณาชัยภูมิให้ถูกต้องเสียก่อน ไม่ใช่เอาทิศมาเป็นตัวกำหนด ทิศของประตูที่ดีในตำราบอกว่า ทิศใต้ดีที่สุด เพราะทิศใต้เป็นทิศของทรัพย์หรือโชคลาภ นอกจากนี้ยังเป็นทิศทางลมที่ดีอีกด้วย

รองลงมาก็เป็นทิศตะวันออก ซึ่งเป็นทิศของมังกร เป็นทิศที่แสงจะส่องตอนเช้า ส่วนทิศไม่ดีก็คือทิศเหนือ ซึ่งเป็นทิศที่นำโรคภัยมาให้ เพราะเป็นทิศอับลม ฤดูหนาวก็นำลมแห้งแล้งมาสู่บ้าน มีแต่เรื่องเจ็บป่วยตลอดปี ส่วนทิศตะวันตก แดดส่องเข้าประตูในตอนบ่าย ทำให้บ้านร้อน

10. ประตูควรเปิดเข้าหรือเปิดออก
โดยธรรมชาติแล้ว การเปิดประตูในลักษณะเปิดเข้าย่อมดีที่สุด เพราะกระแสจะไหลอย่างราบรื่น แต่ในปัจจุบันประตูบ้านส่วนใหญ่จะเปิดออก เพราะต้องทำประตูเหล็กดัดอีกชั้นหนึ่ง ถ้ามองประเด็นนี้ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรมากถ้าประตูจะเปิดออก เรื่องความปลอดภัยน่าจะสำคัญมากกว่าความสะดวกในการเข้าบ้าน

ผมว่าเอาแค่ 10 ข้อก่อนนะครับ ความจริงยังมีเรื่องปลีกย่อยอีกมาก แต่ผมว่าเอาหลักๆ ให้ถูกเสียก่อน เพราะบางคนชอบเอาเรื่องเล็กๆ ปลีกย่อยมาเป็นเรื่องใหญ่ ทำให้เสียเรื่องหลักไป

อย่าลืมว่า เรื่องประตูบ้านถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่ควรละเลยอย่างเด็ดขาด เพราะถ้า ทางเข้าไม่ถูกหลักเสียแล้ว สิ่งดีๆทั้งหลายจะไหลเข้าบ้านได้อย่างไร จริงไหมครับ…


"รั้วบ้าน" ถือเป็นส่วนสำคัญของบ้าน ที่หลายๆ คนมักไม่ค่อยให้ความสำคัญ สักเท่าไหร่ ยิ่งบ้านที่อยู่ในเมือง รั้วบ้านมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใส่ใจดูแล เพราะเป็นสิ่งแรกที่จะป้องกันโจรขโมยเข้าบ้านได้

ตามหลักฮวงจุ้ยให้ความสำคัญกับรั้วบ้านเอาไว้อย่างไร ผมจะมาขยายความให้ฟัง กัน นะครับ การพิจารณารั้วบ้านในทางฮวงจุ้ยนั้น จะมีกฎเกณฑ์ข้อบัญญัติเอา ไว้มากพอสมควรทีเดียว มาเริ่มที่ข้อแรกกันเลยครับ

1. ห้ามสร้างรั้วบ้านก่อนสร้างบ้าน
ข้อห้ามนี้คงเคยได้ยินกันมาบ้าง ในตำราให้เหตุผลเอาไว้ว่าเหมือนสร้างคุก รอคนเข้าไปอยู่เพราะกำแพงล้อมทั้งสี่ด้านก็ไม่ต่างไปจากคุกนั่นเอง หลักการสร้างบ้านจะต้องสร้างจากด้านในขยายไปสู่ด้านนอกจึงจะถือว่าถูกต้อง รั้วจึงเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะสร้าง

2. ห้ามสร้างรั้วสูงหรือต่ำเกินไป
การสร้างกำแพงรั้วสูงจะปิดบังลมที่พัดเข้าบ้าน และผู้อยู่อาศัยจะรู้สึกอึดอัดเหมือนอยู่ในที่คุมขัง การสร้างรั้วสูงส่วนใหญ่จะเหมาะกับบ้านที่มีพื้นที่มากๆ แล้วตัวบ้านไม่ได้อยู่ชิดรั้วมากจนเกินไปความรู้สึกอึดอัดก็จะลดน้อยลง ถ้าสร้างรั้วต่ำก็ล่อแหลมต่อการถูกโจรขโมยขึ้นบ้าน เพราะฉะนั้นจึงควรกำหนด ความสูงของรั้วให้อยู่ในระดับที่พอดี

3. รั้วโปร่งดีกว่าทึบ
การสร้างรั้วโปร่งจะให้ความรู้สึกสบายไม่อึดอัดกับผู้อยู่อาศัยในบ้านการไหลเวียนของลมที่พัดเข้าสู่บ้านก็จะได้ประโยชน์เต็มที่ แต่ถ้าเป็นกรณี ของบริษัท โรงงาน โกดังเก็บของ อาจจำเป็นจะต้องสร้างรั้วทึบเพื่อป้องกันโจรขโมย เพราะฉะนั้นการสร้างรั้วจึงต้องดูที่ความจำเป็นและประโยชน์ใช้สอยด้วย


รั้วโปร่ง รั้วทึบ

4. ห้ามเจาะช่องหน้าต่างที่กำแพงรั้ว
ถ้ารั้วเป็นกำแพงทึบ การเจาะ ช่องที่กำแพง ถือเป็นข้อห้าม เพราะจะทำให้ ้ชี่ไหลออกได้ง่าย บ้านนั้นจะเก็บทรัพย์เอาไว้ไม่อยู่ นอกจากนี้ บ้านยังขาดความมั่นคง โจรขโมยสามารถมองเห็นภายในบ้านได้ง่าย

5. รั้วบ้านห้ามทำเป็นลูกกรงซีกหรือเหล็กแหลม
ลักษณะของรั้วลูกกรงที่มีเหล็กแหลมอยู่ด้านบนคนที่อยู่ในบ้านก็ไม่ต่างไปจากสัตว์ที่ถูกขังอยู่ในกรงหรือกรณีที่เอาเศษแก้วไปเสียบเอาไว้บนขอบรั้ว กำแพงเพื่อป้องกันขโมยปีกเข้าบ้านก็จะเข้าข่ายเดียวกันในทางฮวงจุ้ยถือว่าไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง

ถ้าจะใช้รั้วแบบนี้ ควรจะมีการแต่งลวดลายโค้งวงกลมเสริมเข้าไปยอดบนที่มีลักษณะลูกศรที่แหลมคมก็ใช้วงกลมใส่แทนเข้าไปเพื่อลดความรู้สึกก้าวร้าว ของความแหลมคมลง

6. วัสดุในการสร้างรั้วเป็นไม้ดีที่สุด
การสร้างรั้วบ้านโดยใช้วัสดุที่เป็นไม้จะให้ความรู้สึกที่ดีและเหมาะกับบ้านอยู่อาศัยมากที่สุด เพราะไม้เป็นวัสดุจากธรรมชาติโดยตรง คนในบ้าน จะรู้สึกใกล้ธรรมชาติมากกว่ารั้วที่เป็นปูนหรือเหล็ก แต่ในปัจจุบันรั้วบ้านส่วนใหญ่ ่จะวัสดุที่เป็นปูนผสมเหล็กเพราะแข็งแรงกว่า และประหยัดกว่าการใช้ไม้ที่มีราคาค่อนข้างแพง ถ้ารั้วจะเป็นปูนหรือเหล็กก็คงไม่ผิดอะไรขอให้แข็งแรงเป็นใช้ได้

7. การปลูกต้นไม้ทำเป็นรั้ว
ลักษณะรั้วแบบนี้มีให้เห็นไม่บ่อยนัก เพราะคนไม่ค่อยนิยมทำกันเนื่องจากมองว่าแข็งแรงสู้รั้วปูนไม่ได้ นอกจากนี้ยังดูแลยากต้องคอยตัดแต่งต้นไม้อยู่เสมอ ส่วนใหญ่จะนิยมทำกันตามบ้านที่มีระบบการรักษาความปลอดภัยดีอย่างหมู่บ้านใหญ่ๆ เพราะไม่ต้องห่วงในเรื่องของโจรขโมยขึ้นบ้าน ในทางฮวงจุ้ยถือว่ารั้วแบบนี้เป็นรั้วธรรมชาติจริงๆ ย่อมส่งผลดีต่อบ้านนั้นมากกว่าเสีย

8. รั้วที่ชำรุดหรือแตกร้าวเป็นลางร้าย
ในทางฮวงจุ้ยจะให้ระวังสิ่งที่เสื่อมสภาพหรือชำรุด เพราะถือเป็นลางร้ายที่บ่งบอกว่าบ้านหลังนั้นจะประสบกับปัญหาเจ้าของบ้านจะพบกับความล้มเหลวได้ รั้วบ้านที่แตกร้าวผุผังแทนความหมายของความมั่นคงที่ถูกทำลายลง เพราะสิ่งที่ป้องกันภัยจากนอกบ้านกำลังเสื่อมสภาพลงนั่นเอง เพราะฉะนั้นจึงควรหมั่นดูแลรักษาสภาพของรั้วให้แข็งแรงและดูใหม่อยู่เสมอ

เรื่องของรั้วหรือกำแพงบ้าน ก็คงต้องใส่ใจกันให้มากนะครับลองหันไปมองรั้วบ้านของตัวเอง ดูสิว่ามีส่วนไหนชำรุดเสียหายหรือมีสภาพเสื่อมโทรมบ้าง ถ้ารั้วไม่ถึงกับพังแต่มีราขึ้นเขียวดูสกปรก โดยเฉพาะรั้วหน้าบ้านก็ควรทาสีใหม่ ่ซักหน่อย บ้านจะดูสดใสขึ้นอีกแยะ

เรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้ อย่าถือว่าไม่สำคัญนะครับ ลองทำดูแล้ว จะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง อย่างคาดไม่ถึงทีเดียว..


เรื่องของการจัดสวนภายในบ้าน ถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับบ้านในยุคนี้ เพราะสวน ได้กลายเป็นจุดเด่น เป็นหน้าตาของบ้าน แถมยังเป็นการเสริมฮวงจุ้ยบ้าน ให้ดีได้อีกด้วย

ตำราฮวงจุ้ยมีพูดถึงหลักในการจัดสวนเอาไว้ หลากหลายรูปแบบด้วยกัน และเป็นเรื่อง ที่น่าสนใจไม่น้อย ปัจจุบันคนก็หันมานิยมจัดสวนแต่งบ้านกันอย่างจริงจัง บางบ้านหมด เงินไปกับเรื่องนี้มากโขทีเดียว ลองมาดูกันสิว่า ในทางฮวงจุ้ยพูด ถึงการจัดสวน เอาไว้อย่างไร

1. ตำแหน่งสวนควรอยู่ทางทิศตะวันออก
การกำหนดพื้นที่สำหรับจัดสวนภายในบริเวณบ้าน ถือเป็นสิ่งแรกที่จะต้องพิจารณา การที่ตำราระบุว่า สวนควรอยู่ทางทิศตะวันออก ก็ด้วยเหตุผลที่ว่าทิศตะวันออกเป็นทิศที่พระอาทิตย์ขึ้น แสงแดดในยามเช้า จะช่วยส่งเสริมต้นไม้ให้มีความงอกงามและเขียวสด เพราะเป็นแสงที่ไม่แรงจนเกินไป

ส่วนทางทิศตะวันออกถือว่าเหมาะสม เพราะต้นไม้จะได้รับแสงอาทิตย์ในยามเช้า

2. สวนต้องครบองค์ประกอบของธาตุทั้ง 5 คือ น้ำ ไม้ ไฟ ดิน
และทอง สวนที่ดีจะต้องประกอบไปด้วย ต้นไม้ (ธาตุไม้) น้ำตก น้ำพุ อ่างบัว บ่อปลา (ธาตุน้ำ) แสงแดดส่องถึง(ธาตุไฟ) มีดินที่สมบูรณ์(ธาตุดิน) และที่สำคัญจะต้องมีการตกแต่งสวนอย่างสวยงาม(ธาตุทอง) ไม่ใช่ปล่อยให้รกรุงรัง กลายเป็นป่ามากกว่าสวน

3. น้ำตกในสวนจะต้องหันหน้าน้ำตกเข้าบ้านเสมอ การตกแต่งสวนโดยมี
น้ำเข้ามาเกี่ยวข้องในทางฮวงจุ้ยบอกเอาไว้ว่าจะต้องระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกรณีของน้ำตก ที่มีการไหลของน้ำไม่เหมือนอย่างอื่น "หน้าน้ำตกจะต้องหันเข้าบ้าน ห้ามหันออกนอกบ้าน" เพราะการหันออกนอกบ้านจะหมายถึงการเงินไหลออก เพราะน้ำแทนความหมายของโชคลาภการเงินนั่นเอง นี่เป็นกฎเกณฑ์ที่จะต้องจำไว้ในการแต่งสวน

4. บ่อน้ำ สระน้ำ รูปทรงต้องไม่ร้าย การขุดบ่อน้ำหรือสระน้ำในสวนนั้นสิ่งที่จะต้อง คำนึงถึงก็จะเป็นเรื่องของรูปทรงของสระนั้น ในทาง ฮวงจุ้ย จะให้ใช้รูปทรงที่ไม่ทำร้ายคนในบ้าน เช่น รูปทรงที่เป็นเหลี่ยม รูปทรงขนมเปียกปูน สามเหลี่ยม เป็นต้น ควรใช้รูปทรงโค้งมน หรือวงกลม จะถือว่าดี ีที่สุด

5.ก้อนหิน วางผิดเป็นอุปสรรคใหญ่หลวง
หิน มาตกแต่งสวนต้องระวังให้มาก โดยเฉพาะก้อนหินใหญ่เพราะในทางฮวงจุ้ย "ก้อนหิน" จะหมายถึงอุปสรรค การเลือกก้อนหินในการแต่งสวนจะต้องเลือกก้อนที่มีลักษณะกลมมน ห้ามเป็นเหลี่ยมคม หรือมีมุมแหลมก้อนหินที่มีรูก็เป็นลักษณะต้องห้ามเช่นกัน ตำแหน่ง ในการวางส่วนใหญ่ ่จะวางบริเวณมุมบ้าน ห้ามวางไว้หน้าบ้านหรือบริเวณที่ตรงกับประตูบ้าน

6.บ้านเล็ก ห้ามปลูกต้นไม้ใหญ่
บ้านที่มีขนาดเล็กมีพื้นที่จำกัดในการจัดสวน อย่างบ้านทาวน์เฮ้าส์ ห้ามเอาต้นไม้ใหญ่ ่มาปลูก เพราะจะก่อผลเสียมากกว่าผลดี สิ่งที่มองเห็นได้ชัด ก็คือ ต้นไม้ใหญ่จะทำลายฐานบ้าน และกิ่งก้านของต้นไม้ยังทำลายตัวบ้านอีกด้วย บ้านขนาดเล็กอย่างทาวน์เฮ้าส์ไม่ควรปลูก ต้นไม่ใหญ่ในบ้าน

7.หลีกเลี่ยงไม้หนามในการแต่งสวน เรื่องต้นไม้ที่มีหนามแหลม
ในทางฮวงจุ้ยจะถือว่าเป็นข้อห้ามอยู่แล้ว เพราะหนามที่แหลมคมจะส่งผลกระทบ ต่อคนในบ้านได้ แต่บางคนอาจจะสงสัยว่าต้นไม้อย่าง เฟื่องฟ้า โป๊ยเซียน ที่คนนิยม นำมาปลูกในบ้านทำไมถึงไม่ห้าม ความจริงแล้วไม้หนามอย่างเฟื่องฟ้าหรือโป๊ยเซียน ก็เข้าข่ายเป็นต้นไม้ต้องห้ามเหมือนกัน เพราะมีหนามแหลม เพียงแต่ว่า ชื่อของต้นไม้เป็นมงคลเท่านั้น และต้นเฟื่องฟ้าส่วนใหญ่ ่จะนิยมปลูก ริมรั้ว หรือ กำแพง ซึ่งกลับเป็นผลดีในแง่ของการป้องกันสิ่งไม่ดีเข้าบ้าน

เหตุผลที่ตำราห้ามเอาไว้อย่างนั้น ก็เพราะหนามแหลมของต้นไม้ อาจจะเกี่ยว
คนเดินผ่านไปมาในบ้านได้ โดยเฉพาะบ้านที่มีเด็กเล็กๆ นอกจากนี้ เวลาต้นไม้เติบโตเป็น ต้นไม้ใหญ่ จะเคลื่อนย้าย หรือตัดกิ่งของต้นไม้ค่อนข้างจะยากที่จะไม่โดยหนามเกี่ยว

จะเห็นได้ว่า หลักเกณฑ์หรือข้อบัญญัติในทางฮวงจุ้ยที่เกี่ยวกับการจัดสวนนั้น เป็นข้อบัญญัติที่อยู่บนรากฐานของเหตุผล ที่สามารถทำความเข้าใจได้ ยังไงก็ลองนำไป ใช้ดูนะครับ




ตอนที่แล้ว ผมพูดถึงการหาจุดโชคลาภกันไปบ้างแล้ว แต่เป็นการสังเกตจากชัยภูมิ ภายนอกบ้าน มาคราวนี้ผมจะเข้าไปค้นหาจุดโชคลาภในบ้านกัน พร้อมทั้งบอกถึงวิธีการกระตุ้นจุดโชคให้แสดงผลอีกด้วย ใครสนใจก็ตามอ่านกันได้เลยครับ

การหาตำแหน่งการเงินหรือโชคลาภในบ้าน ไม่ยากเลยจุดแรกก็คือ "ประตูบ้าน" เพราะประตูบ้านถือเป็นด่านแรกที่โชคลาภจะไหลเข้าสู่ตัวบ้าน จึงถือเป็นจุดรับโชค ในทางฮวงจุ้ยจึงมี ข้อบัญญัติเอาไว้มากมายเกี่ยวกับประตูบ้าน อาทิ :

- ประตูหน้าบ้านห้ามตรงกับประตูหลังบ้าน
- ประตูหน้าบ้านห้ามตรงกับบันได
- ประตูหน้าบ้านห้ามตรงกับห้องส้วม
- ประตูบ้านห้ามตรงกับเตาไฟ
- บริเวณประตูบ้านห้ามมีสิ่งกีดขวาง เช่น ต้นไม้ใหญ่ขวางหน้าประตู
- ฯลฯ

กรณีที่ผมยกตัวอย่างมานี้จะเข้าข่ายทำลายโชคลาภทั้งสิ้น อย่างเดินเข้าบ้าน แล้วมอ เห็นประตูหลัง อย่างนี้เรียกว่า เงินไหลออก หรือประตูบ้านตรงกับบันได ก็เป็นการผลักดันให้โชคลาภไหลออกนอกบ้านเช่นเดียวกัน เพราะกระแสจากบันได ที่เทลงมาจากชั้นบนจะปะทะกับโชคลาภที่ไหลเข้ามาในบ้าน

บริเวณประตูบ้าน จึงเป็นจุดโชคลาภแรกที่สำคัญที่สุด ภายในบ้านยังมีอีกจุดหนึ่ง ที่ถือเป็นจุดโชคลาภเหมือนกัน ก็คือ ตำแหน่งที่ทแยงมุมกับประตูบ้าน นั่นเอง ถ้าประตูบ้านอยู่ตรงกลาง ตำแหน่งโชคลาภก็จะอยู่มุมทแยงทั้งซ้ายขวา ถ้าประตูอยู่ทางขวา จุดโชคลาภก็จะอยู่ทางซ้ายของมุมบ้าน ส่วนประตูอยู่ทางซ้าย จุดโชคลาภก็อยู่มุมขวา

วิธีนี้ มักใช้กับการจุดวางโต๊ะเก็บของร้านค้า แต่กับบ้านอยู่อาศัยก็สามารถนำมาใช้ได้ เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะบ้านหลังเล็กที่มีพื้นที่ไม่มาก

ความจริงแล้วยังมีวิธีหาจุดโชคลาภภายในบ้านอีก โดยใช้การดูทิศทางของบ้าน แต่ผมจะไม่นำมากล่าวในที่นี้ เพราะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะยุ่งยาก ต้องใช้เข็มทิศวัดกันเป็นองศา แล้วค่อยหาจุดโชคลาภว่าอยู่ตรงไหน เอาวิธีง่ายๆที่ผมบอกมานี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว เพราะ แค่สังเกตด้วยตนเองก็สามารถนำมาปรับใช้ได้เลย

เมื่อเรารู้แล้วว่าจุดการเงินโชคลาภของบ้านอยู่ตรงไหน คำถามก็จะเกิดขึ้นว่า "แล้วจะทำอย่างไรกับเจ้าจุดนี้ดี" คำตอบในเรื่องนี้จะมีอยู่ 3 ทางด้วยกันครับ

1. กระตุ้นจุดโชคลาภให้แสดงผล
2. ปล่อยเอาไว้เฉยๆ
3. อย่าทำให้เสียหาย

คุณจะเลือกข้อไหนดีล่ะ ผมว่ากว่าครึ่งเลือกข้อ 1 แหม..ใครก็อยากให้การเงินของบ้านดีด้วยกันทั้งนั้น ก่อนอื่นผมต้องอธิบายเสียก่อนว่า คำว่า"จุดโชคลาภ" นี้ ในตำราฮวงจุ้ยอาจจะใช้คำอื่นเช่น จุดรุ่งเรือง จุดการเงิน หรือพูดง่ายก็คือจุดที่ดีที่เป็นมงคลของบ้านนั่นเอง

การกระตุ้นจุดโชคลาภให้แสดงผลก็มีหลักที่ไม่ยุ่งยากอะไรหรอกครับ เมื่อเรารู้ ตำแหน่งของจุดโชคลาภแล้ว สิ่งที่จะทำต่อไปก็คือ กระตุ้นจุดนั้นด้วยสิ่งที่เคลื่อนไหว

ตำราฮวงจุ้ยบอกเอาไว้ว่าสิ่งเคลื่อนไหวที่ดีที่สุด ก็คือ "น้ำ" เหตุผลก็เพราะ น้ำ แทนวามหมายของโชคลาภอยู่แล้ว น้ำเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่มนุษย์ขาดไม่ได้ บ้านที่อยู่ติดน้ำ ทะเลสาบหรือบ้านที่มีการทำสระน้ำ ทำน้ำตก น้ำพุ เอาไว้ในบ้าน ล้วนแล้วแต่เป็นบ้านที่มีโชคลาภทั้งสิ้น

ประตูบ้านถือเป็นจุดโชคลาภ ตำราฮวงจุ้ยจึงมักจะแนะนำว่าให้วางน้ำไว้หน้ าประตูทางเข้าบ้าน ถ้าไม่ขุดสระ ขุดบ่อน้ำ ก็อาจจะวางอ่างบัว เพื่อใช้น้ำดึงโชคลาภ เข้าสู่ตัวบ้านนั่นเอง

กรณีภายในบ้านก็อาจจะหา "ตู้ปลา" มาวางสักตู้ บริเวณหน้าประตูบ้าน หรือจุดที่ทะแยงมุมกับประตูบ้านก็ได้ เดี๋ยวนี้คนนิยมเลี้ยงปลากันมาก ตู้ปลาในทางฮวงจุ้ยถือเป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่นำมาใช้ในการเสริมสิริมงคล หรือแก้ไขฮวงจุ้ยที่ไม่ดีของบ้าน เอาไว้ผมจะนำเรื่องตู้ปลามาพูดให้ละเอียดอีกครั้ง ถ้ามีโอกาสนะครับ

เห็นมั้ยครับ ไม่ยากเลย ลองทำกันดูนะครับ คราวนี้มาดูสิ่งที่ไม่ควรวาง หรือห้ามวาง ตำแหน่งโชคลาภกันบ้าง การทำให้จุดโชคลาภเสียจะส่งผลให้บ้าน นั้นอับโชคครับ หรือถ้ารุนแรงอาจถึงขั้นกระทบการเงินของบ้านนั้น หามาได้เท่าไหร่ ่ก็ไม่มีเหลือบางคนติดลบด้วยซ้ำ

สิ่งที่ทำให้จุดโชคลาภการเงินของบ้านเสีย จะมีหลักให้สังเกตกันได้ ดังนี้

จุดโชคลาภเป็นห้องส้วม ก็อย่างที่รู้ๆกันว่าห้องส้วมในทางฮวงจุ้ย ถือเป็นสิ่งอัปมงคลของบ้าน เมื่อห้องส้วมไปทับจุดโชคลาภ แล้วจะดีได้อย่างไร เช่นการวางตำแหน่งห้องส้วมไว้หน้าบ้าน ตำราบอกว่า บ้านนั้นจะอับโชค เวลาเราชักโครกทีโชคลาภก็จะหายไปที ยิ่งใช้ส้วมมากยิ่งกระทบมาก
จุดโชคลาภเป็นเตาไฟ อำนาจของไฟ คือ การเผาผลาญ เตาไฟวางจุดโชคลาภ การเงินของบ้านก็เป็นจุลเท่านั้นเอง บางคนเอาเตาไฟมาทำอาหารหน้าบ้าน พวกทาวน์เฮ้าส์ ตึกแถวจะพบบ่อย
จุดโชคลาภถูกของหนักทับ เช่น ตู้เอกสาร ตู้โชว์ โซฟา เครื่องจักรหนักๆ อย่างนี้ โชคลาภแสดงผลไม่ออกแน่ๆ

ถ้าจุดโชคลาภเป็นทางเดินหรือกำแพงว่างๆ อย่างนี้จะถือว่า ไม่ได้ไม่เสีย เรียกว่าเสมอตัวครับ ไม่ต้องเอาอะไรไปกระตุ้นก็ได้ เพราะบางคนรวยอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องวุ่นวายไปหาของมากระตุ้นจุดโชคลาภให้เสียเวลา

สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะฝากเอาไว้ก็คือ ถึงแม้ว่าเราจะกระตุ้นจุดโชคลาภของบ้าน หรือไม่ทำให้จุดโชคลาภเสีย ไม่ได้หมายความว่า บ้านนั้นจะมีโชคลาภการเงินที่ดี เพราะยังมีปัจจัยอีกมากมายที่จะทำให้การเงินในบ้านเสีย โดยเฉพาะผลที่มาจากการกระทำของตัวเจ้าของบ้านเอง

บางคนคิดว่า เมื่อกระตุ้นจุดโชคลาภแล้ว จะทำให้ตัวเองร่ำรวยขึ้น นั่งรอบุญหล่นทับ อยู่กับบ้าน ไม่ยอมทำอะไร อย่างนี้บอกคำเดียวว่า ไม่มีทางร่ำรวยหรอกครับ คำว่าโชคลาภ ไม่ได้หมายถึงเรื่องเงินเพียงอย่างเดียว แต่จะหมายถึงโอกาสที่เข้ามาในชีวิต เมื่อโอกาสเข้ามา แล้ว ถ้าเราไม่รู้จักคว้าเอาไว้ ปล่อยให้โอกาสนั้นผ่านเลยไป จะมาเรียกร้องภายหลังคงจะไม่ได้

การกระทำของคนเรา ถือเป็นตัวแปรหรือตัวแสดงผลที่สำคัญที่สุด ฮวงจุ้ยที่ดี เป็นเพียงตัวสนับสนุนหรือผลักดันเท่านั้น ที่เหลือต้องพึ่งตัวเองครับ..


คำถามเกี่ยวกับฮวงจุ้ยบ้าน ที่ผมมักจะถูกถามอยู่ตลอดเวลา ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของ "โชคลาภ" ทำอย่างไรบ้านถึงจะมีโชคมีลาภ เงินทองไหลเข้าไม่ขาดมือ แหม..เรื่องโชค เรื่องเฮง เรื่องความร่ำรวย ใครบ้างล่ะไม่อยากมีอยากได้ทุกคนล้วนต้องการด้วยกันทั้งนั้น บางคนรวยอยู่แล้ว ก็ยังอยากที่รวยมากขึ้นเลย

ผมเลยหยิบเอาเรื่องของการหาจุดโชคลาภ จุดการเงิน มาพูดถึง เพราะในตำรา ฮวงจุ้ยมีระบุเอาไว้ชัดเจน ใครหาจุดโชคลาภเจอแล้วรู้วิธีกระตุ้นจุดโชคลาภก็จะส่ง ผลดีในเรื่องภาวะเงินทองของเจ้าของบ้านได้

หลายคนเริ่มหูผึ่งแล้วใช่ไหมครับ ยิ่งภาวะการเงินฝืดเคืองแบบนี้ ก็ต้องค้นหาทุก วิถีทางเพื่อให้สภาพการเงินคล่องตัว ผมว่ามาลองดูวิธีในทางฮวงจุ้ยกันบ้างเผื่อจะ ช่วยให้สถานะการเงินดีขึ้น

การจะรู้ว่าจุดโชคลาภของบ้านอยู่ตรงไหนนั้น วิธีการหามีด้วยกันหลายวิธีครับ มาเริ่มกันที่วิธีแรกกันก่อนซึ่งเป็นวิธีแบบดั่งเดิม โดยพิจารณาจากตำแหน่งของชัยภูมิ เพราะตำแหน่งชัยภูมิในทางฮวงจุ้ยจะมีความหมายอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว

ตำราฮวงจุ้ยบอกเอาไว้ว่าชัยภูมิทั้ง 4 ด้าน จะประกอบไปด้วยตำแหน่งเสือ มังกร หงส์ และเต่า ความหมายของสัตว์มงคลทั้งสี่ จะมีดังนี้

เสือ แทนความหมายของ บารมี ทิ ตะวันตก
มังกร แทนความหมายของ อำนาจ ทิศตะวันออก
หงส์ แทนความหมายของ โชคลาภ ทิศใต้
เต่า แทนความหมายของ ความมั่นคง ทิศเหนือ

จะเห็นได้ว่า หงส์ แทนความหมายของโชคลาภซึ่งจะอยู่ทางทิศใต้ ซึ่งเป็นทิศ ที่ดีที่สุดในตำราฮวงจุ้ยโบราณ ชาวจีนสมัยก่อนจึงนิยมสร้างบ้านหันไปทางทิศใต้เสมอ

แล้วตำแหน่งของหงส์อยู่ตรงไหนของบ้านล่ะ..?

อย่าเพิ่งใจร้อนครับ ผมกำลังจะบอกให้เดี๋ยวนี้ ตำแหน่งหงส์ ตามหลักชัยภูมิจะ
อยู่บริเวณหน้าบ้านครับ เพราะหน้าบ้านถือเป็นจุดผ่านของพลังชี่ที่จะไหลเข้าสู่บ้าน ชี่ หรือโชคลาภจะดีหรือไม่ดีนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับลักษณะบริเวณหน้าบ้านนี่แหละ ถ้าหน้าบ้านใครมีลักษณะที่ไม่ดี โชคลาภก็ไม่ไหลเข้าบ้าน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "อับโชค" ครับ

ลักษณะหน้าบ้านที่เข้าข่ายเสีย หรือไม่ดีนั้น ในทางฮวงจุ้ยจะกำหนดเอาไว้ ดังนี้

1. ถนนหน้าบ้านวิ่งหนีจาก หลายคนอาจนึก ภาพไม่ออก แต่ถ้าบอกว่าบ้านที่ตั้งอยู่บริเวณ ทางโค้ง คงจะพอมองเห็นภาพชัดขึ้น บ้านที่ ่ตั้งอยู่บริเวณนี้ จะไม่สามารถดึงโชค ลาภเข้า บ้านได้เลย เพราะกระแสชี่ที่ไหลอยู่บริเวณนั้น จะวิ่ง หนีออกไป

2. หน้าบ้านอุดตัน เช่น มีอาคารสูงอยู่ตรงข้าม มีเสาไฟฟ้าแรงสูง มีต้นไม้ใหญ่
ขวางทางเข้าบ้าน ทำให้พลังชี่ไหลเข้าไม่สะดวก เป็นการปิดบังโชคลาภ นั่นเอง

3. ถนนหน้าบ้านเป็นรูปคันเบ็ด หรือเป็นลักษณะ หักมุมเข้าสู่บ้าน ในตำราระบุเอาไว้ค่อนข้างจะ น่ากลัว ทีเดียวว่า โชคลาภจะวิบัติ ทรัพย์สมบัติ ไม่เหลือ คำอธิบายในทางฮวงจุ้ยจะบอกว่า ลักษณะถนนแบบนี้ จะส่งผลให้พลังชี่ไหล เวียนไม่สะดวก เพราะมี ีลักษณะที่หักมุมมาก เกินไป และที่สำคัญ ถนนจะพุ่งเข้าสู่บ้าน เหมือนตะขอเกี่ยวเบ็ด บ้านเลยไม่ต่างไปจาก ปลาที่ติดเบ็ด รอวันตายลูกเดียว

4. หน้าบ้านมีสิ่งปฏิกูลเน่าเหม็น สิ่งปฏิกูลในที่นี้อาจจะหมายถึง กองขยะ น้ำ
เน่าเสีย โรงงาน โรงชำแหละสัตว์ ฟาร์มสัตว์ต่างๆ ที่ไม่ดูแลความสะอาดให้ดีพอ ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วบริเวณ อย่างนี้โชคลาภวิ่งหนีหมดครับ

5. หน้าบ้านเป็นวัด ศาลเจ้า สุสาน ในตำราบอกว่า พลังอินชี่ (พลังนิ่งตาย) ที่
แผ่ออกมาจากสถานที่ดังกล่าว จะเป็นตัวสกัดชี่ที่ดีไม่ให้ไหลเข้าบ้าน ผลก็คือ บ้านนั้น ไม่มีโชคลาภ ประเภทลูกฟลุ้ก ลูกเฮง ไม่มีครับ

6. หน้าบ้านมีลักษณะทึบตัน บ้านที่ก่อกำแพงทึบ แถมประตูรั้วบ้านยังมี
ลักษณะ ทึบอีกต่างหาก เวลาอยู่นอกบ้าน มองเข้าไปไม่เห็นตัวบ้านเห็นแต่กำแพง ทึบทั้งสี่ด้าน เหมือนกำแพงคุก ลักษณะแบบนี้จะให้โชคลาภไหลเข้าบ้านได้อย่างไรล่ะครับ หน้าบ้านที่ดีควรมีลักษณะโล่ง เพื่อเปิดรับพลังเข้าบ้านได้อย่างเต็มที่

ลองวิ่งออกไปดูบริเวณหน้าบ้านของคุณดูสิ ว่าเข้าข่ายตามที่กล่าวมานี้
หรือไม่ ถ้าเข้าข่ายข้อใดข้อหนึ่ง ก็ถือว่า บ้านคุณขาดโชคลาภแล้วล่ะครับ แต่บ้านใคร ไม่ได้เข้าข่ายตามนี้ ก็อย่าเพิ่งหลงระเริง หรือดีใจจนเกินเหตุว่า บ้านตัวเองมีโชคลาภที่ดี เพราะที่ผมกล่าวมานี้ เป็นเพียงการพิจารณา แค่ลักษณะชัยภูม ิภายนอกบ้านเท่านั้น ยังไม่ ่ได ้พูดถึงเรื่องตำแหน่งภายในบ้าน แล้วก็ทิศทางกันเลย



เปิดศักราชใหม่ปีมะแม หลายคนคงหน้าชื่นตาบานกันพอสมควรนะครับ เพราะบางคน มีบ้าน หลังใหม่ มีรถคันใหม่ เพิ่มสีสันให้กับชีวิตตามสภาพเศรษฐกิจที่เริ่มหายใจ หายคอได้คล่องขึ้น แม้จะมีอีกหลายคนยังคงมีอาการหายใจติดขัดอยู่บ้างก็ตาม

มองโลกในแง่ดีกันดีกว่านะครับ ว่ายังไงปีนี้อะไรๆ ก็น่าจะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ให้กำลังใจรัฐบาลของท่านนายกทักษิณกันหน่อย จะทำงานแก้ปัญหาให้มากกว่าปีที่ผ่าน มา แต่ผมว่าปีนี้น่าจะดีแน่ๆ โดยเฉพาะธุรกิจบ้านจัดสรรนี่แหละครับ เพราะปีที่ผ่านมา ขายบ้านกันชนิดที่สร้างไม่ทันขายเลยทีเดียว ผมเองถูกเชิญให้ไปดูบ้านซื้อบ้านใหม ่กันตลอดทั้งปี นี่ผมสรุปตัวเลขเฉพาะของผมเอง ปรากฏว่ากว่า 70-80 เปอร์เซนต์ที่ผม ไปดูบ้านทั้งหมดในปีที่แล้ว เป็นการดูฮวงจุ้ยบ้านใหม่ทั้งสิ้น

แล้วปีนี้จะดีจริงหรือเปล่า ในศาสตร์ฮวงจุ้ยพูดถึงผลกระทบในแต่ละปีเอาไว้อย่างไร ถ้าใครสนใจก็ตามผมมาครับ ผมจะเล่าให้ฟัง เผื่อจะได้นำไปใช้เป็นแนวทางในการ ดำเนินชีวิตในปีนี้ได้ โดยเฉพาะในเรื่องของที่อยู่อาศัย

ข้อมูลที่ควรรู้ในการเปลี่ยนปีแต่ละปี ก็จะมีเรื่องทิศดีทิศร้าย อิทธิพลของดวงดาว (ดาวจร) และผลกระทบต่อดวงชะตาของบุคคล เมื่อปีที่ผ่านมา ถือเป็นปีม้าที่ค่อนข้างจะคึกคะนอง ทำให้เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มาปีนี้ ปีแพะ หลายคนอาจคิดว่าแพะจะสู้ม้าได้เหรอ ผมคงต้องบอกว่า น่าจะคึกคักไม่แพ้กัน เพราะเปิดตำราดาวเหินดูปีนี้ ธาตุที่จรเข้ามา กระทบปีเป็นธาตุไม้ เช่นเดียวกับปีที่แล้ว ธาตุไม้ในความหมายทางฮวงจุ้ย ก็หมายถึง

ความเจริญงอกงามดุจต้นไม้ที่แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพลังของหยางที่เคลื่อนไหว ไม่หยุดนิ่ง เพราะฉะนั้นเจ้าแพะคงไม่มั่วเดินเล่นแน่ๆ

ฟังอย่างนี้หลายๆ คนคงจะใจชื้นขึ้น ปีนี้ดาวที่จรเข้ามากระทบเป็นดาวดวงที่ 6 ส่งผลให้ตำแหน่งทิศอสูรประจำปีเป็นทิศตะวันตก และทิศเบญจภูต ( 5 ภูต ) คือ ทิศตะวันออกเฉียงใต้นั่นเอง จำกันไว้ให้ดีนะครับว่า ปีนี้เจ้า 2 ทิศนี้เป็นทิศร้ายในทาง ฮวงจุ้ย

ทิศร้ายในความหมายทางฮวงจุ้ยคืออะไร.?

หลายคนอาจทำหน้างงๆ ผมจะขยายความให้ฟังครับ ทิศอสูรประจำปี จะให้ความหมายถึง ทิศที่ไม่ควรไปยุ่งไม่ควรไปแตะต้อง เช่น กรณีการสร้างบ้านใหม่ ทิศนี้จะห้ามตอกเสาลงไปเป็นเสาแรก หรือการย้ายบ้านใหม่ ถ้าบ้านใครตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก (ทิศหลังบ้าน) หันหน้าตะวันออก ก็จะห้ามย้ายเข้าไป ต้องรอเข้าปีหน้า อย่างนี้เป็นต้น

ส่วนทิศ 5 ภูต ความหมายก็คือ ทิศที่ทำให้วุ่นวาย นั่นเอง เพราะฉะนั้น ทิศนี้จึงห้ามทำให้เคลื่อนไหว เช่น การนำตู้ปลาไปวางทางทิศนี้ หรือทำการ ต่อเติม รื้อถอน ทุบทำลาย เพราะการทำเช่นนั้น จะไปกระตุ้นให้ 5 ภูตแสดงผล ถ้าจำเป็น ต้องทำ ในปีนี้ ก็ให้เริ่มทุบทางทิศอื่นก่อนแล้วค่อยมา ทุบทางทิศ 5 ภูต

ถ้าใครเกิดผืนกฎไปทำทางทิศต้องห้ามนี้ อาจได้รับผลกระทบตั้งแต่ เจ็บป่วย เล็กๆน้อยๆ ไปจนถึงประสบอุบัติเหตุร้ายแรง หรือทำให้เกิดปัญหา อุปสรรค ต่างๆนานา ในตำราบอกว่า ผลของการทำผิดข้อห้ามนี้ จะกินเวลานานถึง 3 ปีเชียวนะครับ

ยังไงก็คอยระวังกันหน่อยก็ดี เรื่องแบบนี้ไม่มีคำอธิบายที่เป็นตรรกะ วิทยาหรอก ครับ คงต้องใช้คำพูดยอดฮิตว่า "ไม่เชื่อ แต่อย่าลบหลู่" นั่นแหละเหมาะที่สุด

คราวนี้มาดูเรื่องของดวงชะตากันบ้าง ปีนี้ใครจะดีใครจะร้าย มาดูกันครับ

ปีมะแม ชงกับปีฉลู

ใครเกิดปีฉลู คงต้องสงบเสงี่ยม เจียมตัวกันหน่อย ควรทำตัวเหมือนกบจำศีลเป็นดีที่สุด เพราะคำว่า "ชง" ก็คือปะทะ ถ้าขยับตัวผิดท่าผิดทาง อาจไปกระทบกระทั่งทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตได้ ในตำราจึงกล่าวห้ามไว้ว่า คนที่เกิดปีชงกับปีจร ห้ามทำกิจกรรม ดังต่อไปนี้

1. ห้ามเปลี่ยนงานย้ายงาน
2. ห้ามแต่งงาน
3. ห้ามย้ายบ้าน
4. ห้ามไปมีเรื่องกับใคร
5. ห้ามลงทุนอะไรที่มีความเสี่ยงสูง
6. ห้ามเป็นผู้นำพิธีการต่างๆ
7. ห้ามเดินทางไกลโดยไม่จำเป็น
8. ห้ามไปงานศพ

นี่เป็นเพียงตัวอย่างสำหรับคนปีฉลูที่จะต้องระมัดระวังตัวในปีนี้ แต่คงไม่ถึงกับไม่ กล้าทำอะไรเลยนะครับ เพียงแต่ให้ระวังเอาไว้เท่านั้น ไม่ใช่แค่คนเกิดปีฉลูเท่านั้นที่ต้องระวังตัว คนที่เกิดปีมะเส็งกับปีระกา ก็อาจโดนหางเลขได้ด้วย เพราะเป็นปีเกิดที่เป็นไตรภาคีกับปีฉลู

ส่วนคนที่เกิดปีมะแม ก็ถือว่าได้ประโยชน์ เพราะเป็นปีประจำตัว ทำให้มีกำลังมาก ขึ้น นอกจากนี้ผลพลอยได้ยังตกกับคนที่เกิดปีกุนกับปีเถาะ ที่เป็นไตรภาคีกับปีมะแม อีกด้วย สำหรับ ปีเกิดที่ไม่กล่าวถึงในที่นี้ ถือว่าเสมอตัว ไม่ดีไม่เสีย ไม่ต้องระวังตัวอะไร มาก ดำเนินชีวิต ตามปกติครับ

ฮวงจุ้ยสี1